มนุษย์ตกงานหมด.. แล้วจะเอาเงินที่ไหนใช้ครับ
#1
Posted 15 October 2017 - 04:11 PM
หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติเข้ามาแทนตำแหน่งงานมากมาย
ทางที่เห็นในชีวิตประจำวันและในระบบอุตสาหกรรม
คนรุ่นก็มีแนวโน้มจะครอบครองสิ่งของน้อยลง
มิวสิคก้อสตรีมมิ่ง รถก็แกรบ ที่พักก้อแชร์ริ่งกัน
วงการก่อสร้างที่ผมทำ
คนก็ปลูกใหม่/ซื้อใหม่น้อยลงไป
ันนี้ชวนคุยในสเกลแบบอีกหลายๆๆสิบปีข้างหน้านะครับ
#2
Posted 15 October 2017 - 04:39 PM
#3
Posted 15 October 2017 - 06:38 PM
#4
Posted 15 October 2017 - 06:51 PM
#5
Posted 15 October 2017 - 07:20 PM
#6
Posted 15 October 2017 - 08:43 PM
#7
Posted 15 October 2017 - 09:19 PM
kitti, on 15 October 2017 - 08:43 PM, said:
เห็นด้วยอย่างแรงครับ จากใจผู้ประกอบการ ขายได้บางทีเงินจ่ายค่าลูกน้องต่อวันยังไม่พอเลย
#8
Posted 15 October 2017 - 10:58 PM
เรามีปัญหาเรื่องบุคลากรที่ขาดวิสัยทัศน์ คิดแค่ต้องการเงินให้มากพอตามค่าครองชีพที่สูงขึ้น
แต่ไม่คิดจะเพิ่มศักยภาพตัวเองให้มีความสามารถเพื่อเพิ่มรายได้ จึงมีแต่เรียกให้เพิ่มเงินเดือนกับความสามารถเดิมๆ
ฉะนั้นต้องยกระดับตัวเองอยู่เรื่อยครับ
#9
Posted 16 October 2017 - 12:41 AM
เดิมที่ระบอบคอมมิวนิสต์จะให้รัฐเป็นเจ้าของปัจจัยการผลิต คนมีหน้าที่เป็นแรงงาน ทำงาน แล้วผลผลิตกลายเป็นของส่วนรวม แล้วปันส่วนออกมา ใช่ไหมครับ
แต่ระบบที่ใช้คนทำงาน เมื่อคนทำแล้ว ของที่ได้เข้าส่วนรวมหมด ทำให้คนไม่ขยัน เพราะทำมาก ขยัน ก็ได้เท่าเดิม ทำให้ระบอบเศรษฐกิจคอมมิวนิสต์แบบเดิมไร้ประสิทธิภาพ และล่มสลายไป
แต่มายุคหุ่นยนต์ ที่ทำงานได้มาก ไม่มีเฉื่อยงาน ทำมากน้อย แล้วแต่คนสั่ง
ต่อไป คนจะตกงานมากๆ เพราะหุ่นยนต์เข้ามาทำงานแทนหมด
คนเป็นทั้งแรงงาน และเป็นทั้งตลาด คือเป็นทั้งคนทำงาน และเป็นคนที่ใช้จ่ายเงินเพื่อซื้อของ
ถ้าปล่อยไปเรื่อยๆ ของก็จะขายได้น้อยลง เพราะคนก็ไม่มีรายได้ไปซื้อ
สุดท้าย ภาครัฐ ต้องขึ้นภาษีบริษัทที่เอาหุ่นยนต์มาใช้สูงๆ เพื่อเอาเงินเหล่านี้ มาจ่ายเป็นเงินเดือนขั้นต่ำให้กับทุกๆคนที่ไม่มีรายได้ เพื่อให้มีรายได้ขั้นต่ำมาใช้จ่าย
หรือถ้าพัฒนาไประดับสูงสุดคือ ภาครัฐลงทุนในหุ่นยนต์เหล่านี้เองทั้งหมด แล้วจัดระบบจัดการบริหาร เพื่อผลิตสินค้าและบริการออกมาเอง
ปัญหาด้อยประสิทธิภาพจากการเฉื่อยงานของแรงงานในระบอบคอมมิวนิสต์เดิม จะหายไปเมื่อเข้าระบบหุ่นยนต์
สรุปคือ อนาคต รัฐต้องมีเงินเดือนขั้นต่ำจ่ายให้ฟรีๆ แต่ระบบเศรษฐกิจก็ยังคงมีสินค้าให้บริโภค เพราะผลิตด้วยหุ่นยนต์ที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ถ้าไม่ทำอย่างนี้ คนที่ตกงานจะก่อหวอดประท้วง ก่ออาชญากรรม ทำให้เกิดปัญหาสังคม และการเมืองในที่สุด
ผมอยากชวนคุยเรื่องวงการก่อสร้างที่คุณบอกด้วย
มีคนบอกว่า trend ของคนรุ่นใหม่คือไม่ซื้อบ้าน (เพราะมันแพงมาก เมื่อเทียบกับรายได้ของเขา)
ทำให้คนอาศัยกับพ่อแม่แบบเดิมๆ หรือใช้การเช่าเอาแทน ตามข้อมูลนี้
http://www.papaidoo.com/news/561
Edited by ping99, 16 October 2017 - 12:43 AM.
#10
Posted 16 October 2017 - 12:43 AM
ไม่ต้องไปดูไกลๆดูโทรศัพท์ตัวเองได้เลยครับ เดี๋ยวนี้มี AI assistance กันหมดแล้ว และแนวโน้มการพัฒนาแบบก้าวกระโดดยังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
อย่างที่ US ในอนาคตอันใกล้พวกคนขับรถบรรทุกขนของและรถโดยสารบางชนิดน่าจะเริ่มโดนเครื่องจักรแย่งงานแล้ว บริษัทใหญ่ๆลงทุนเรื่องนี้กันเยอะเพื่อลดต้นทุน ลดปัญหา และทำให้จัดการง่ายขึ้น
พวกงานระดับสูงก็ไม่รอด ขนาดพวกคนดูแลกองทุนทั้งหลายก็เริ่มหนาวๆร้อนๆกันแล้ว เพราะปัญญาประดิษฐ์เริ่มที่จะเก่งเท่าหรือเก่งกว่าในบางเรื่องแล้ว เพราะคิดและตัดสินใจเร็วกว่า ตัดcostลดrisk ได้รวดเร็ว แถมประหยัดไม่ต้องแจกโบนัส6-9หลักให้คนดูแลกองทุนแล้ว
หรือขนาดโสเภณีก็ยังมี SEX bot ที่แว่บๆออกมาเรื่อยๆ Call centerเอง ก็โดน Chat bot เบียดบังงานบ้างแล้ว
หรือจะให้เห็นง่ายๆก็ McDonald ที่ลดจำนวนลูกจ้างแล้วใช้ระบบอัตโนมัติเองอย่างเช่นป้ายสังอาหารเอง หุ่นยนต์ย่างเนื้อ etc.
แม้แต่เพลงก็โดนปัญญาประดิษฐ์ไปวุ่นวานอยู่นานแล้วด้วย แต่ก่อนก็ให้ร้องเพลงแทน[พวก Vocaloid ] แต่เดี๋ยวนี้เขาใช้ปัญญาประดิษฐ์แต่งทำนองเองแล้ว โดยให้มันเรียนจากทำนองต่างๆบนอินเตอร์เนท
ยังดีที่น่าจะยังมีเวลาเหลือพอก่อนที่มันจะมารุกรานงานในธุรกิจขนาดเล็ก-ย่อย และในประเทศแบบเราๆก็คงจะต้องนานออกไปอีก แถมคนส่วนใหญ่น่าจะยังไม่อยากฝากชีวิตไว้กับเครื่องจักร จึงยังน่าจะไม่ต้องกังวลใน 5 - 10 ปีนี้นะครับ
ส่วนตัวผมคงไม่หวังไปสู้เครื่องจักรครับ เพราะหวังชนะคนด้วยกันที่เขาจะจ้างคอยไปดูหรือตรวจสอบว่าเครื่องจักรทำงานพลาดหรือเพื่อเครื่องจักรเสียจะง่ายกว่านะครับในความเห็นผม
ส่วนที่ว่าต่อไปจะอยู่ยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่ถ้าไปถึงขนาดที่หุ่นยนต์แย่งงานคนไปมากๆแล้ว ผมก็เดาว่าคงจะต้องเป็นแบบ universal basic income กระมั้ง
แต่ยังดีที่ครอบครัวผมมีพื่นที่ทำสวน อย่างน้อยก็ไม่อดตายตอนแก่ ฮ่าๆ
#11
Posted 16 October 2017 - 03:05 AM
#13
Posted 16 October 2017 - 10:40 AM
#14
Posted 16 October 2017 - 10:46 AM
#15
Posted 16 October 2017 - 03:11 PM
#16
Posted 16 October 2017 - 05:01 PM
นั่นคือ 'ปัญหาประชากรล้นโลก'
เมื่อ 2-3ปีก่อน ผมไปเจอความจริงอันน่าตกใจอันนึงขณะหาข้อมูลด้านประวัติศาสตร์
'การก้าวกระโดดของจำนวนประชากรโลก' ที่เพิ่มขึ้นเร็วเว่อจนถึงขั้นฉิบหายกันในเร็วๆนี้
เร็วยิ่งกว่าโลกร้อน ยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ดับ อุกาบาตชนโลก
ทุกคนคงทราบว่าขณะนี้โลกเรามีประชากร 7,000ล้านเนอะ
ครึ่งนึงของ 7,000ล ก้คือ 3,500ล
ตั้งแต่กำเนิดมนุษย์ขึ้นมาบนโลก มนุษย์ใช้เวลาในการปั๊มประชากรมนุษย์คนที่ 1 - 3,500,000,000
มนุษย์ใช้เวลาทั้งสิ้น 200,000ปี (หรือถ้าจะนับตั้งแต่มีอารยธรรมก็ 6,000ปี)
กล่าวคือตั้งแต่เกิดโฮโมเซเปี้ยน มนุษย์ถ้ำคนแรก - ปีคศ.1960
แล้ว 3,500ล หลังล่ะ???
ใช่แล้วครับ!! เราใช้เวลาแค่ 60ปี ในการปั๊มประชากรตั้งแต่คนที่ 3,500,000,0001 จนถึงคนที 7,000,000,000
ก็ตั้งแต่ปี 1961 - ปัจจุบัน
บ้ามั้ยครับ.. 200,000ปี กับ 60ปี
คำถามคือ แล้วอีก 60ปี เราจะทบไปอีกเท่าหรือไม่
ถ้ามะเร็งคือ เซลล์ที่เจริญเติบโตผิดปกติ..
คำกล่าวที่ว่ามนุษย์เราคือมะเร็งของโลกใบนี้เห็นทีจะปฎิเสธไม่ได้ซะแล้ว
พอดีผมจำไม่ได้แล้วว่าหาข้อมูลมาจากไหน ขี้เกียจไปเซิจ แต่ตามนี้ล่ะไม่มั่ว แชร์ได้ 555
edit
อ่ะ อ้างอิงหน่อยก็ได้ มันดูเว่อๆไงไม่รู้ เพื่อความมั่นใจ
ข้อมูลอัตราประชากรโลกในแต่ละปี
http://www.ecology.c...ates-year-2050/
Edited by 9th TEARDROP, 16 October 2017 - 05:12 PM.
#17
Posted 16 October 2017 - 06:33 PM
พอคนตายไปครึ่งค่อนโลกแล้วมนุษย์ค่อยกลับมารักกันใหม่
ที่ว่ามนุษย์ไม่เคยเรียนรู้อะไรจากสงครามเลยน่ะ ไม่ใช่หรอก แต่เพราะมันถึงเวลาจำเป็นก็ต้องทำมากกว่า
หวังว่าคงโชคดีให้ผมแก่ตายก่อนนะ
#18
Posted 16 October 2017 - 06:48 PM
umbababa, on 16 October 2017 - 06:33 PM, said:
พอคนตายไปครึ่งค่อนโลกแล้วมนุษย์ค่อยกลับมารักกันใหม่
ที่ว่ามนุษย์ไม่เคยเรียนรู้อะไรจากสงครามเลยน่ะ ไม่ใช่หรอก แต่เพราะมันถึงเวลาจำเป็นก็ต้องทำมากกว่า
หวังว่าคงโชคดีให้ผมแก่ตายก่อนนะ
ฟังแล้วหดหู่จัง ต้องแต่เกิดมาผมยังไม่เคยปั้มลูกเลยผมผิดอะไร
#19
Posted 16 October 2017 - 08:51 PM
#20
Posted 17 October 2017 - 12:57 AM
เพราะปัจจุบันคนเริ่มตระหนักเรื่องการแต่งงานและการมีลูก
คนเป็นโสดก็มากขึ้น เพราะสภาพเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดความไม่พร้อมในการสร้างครอบครัว
จึงเป็นอย่างที่เห็นๆกันตอนนี้ ที่หลายประเทศกำลังพูดถึงสังคมผู้สูงอายุ