+แปะชื่อของ “ลุค เบสซง” ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และร่วมเขียนบท . . หากเป็นในช่วงยุค 90 เชื่อขนมกินได้เลยว่า Taken หรือชื่อไทย “สู้ไม่รู้จักตาย” น่าจะต้องเป็นหนังห้ามพลาดสำหรับคอหนังเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน . . แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน หลังจากผลงานไซไฟ-แอ็คชั่นที่น่าจดจำอย่าง The Fifth Element แล้ว สไตล์การทำงานของเบสซง ดูจะเน้นไปที่การทำงานในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และร่วมเขียนบทเสียเป็นส่วนใหญ่ และแทบจะทั้งหมดล้วนผลิตผลงานในกลุ่มที่เป็นหนังขายความบันเทิงล้วนๆออกมาแทบทั้ง
สิ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังชุด Taxi , The Transporter , Kiss of the Dragon , Unleashed , B 13 - Banlieue 13 หรือกระทั่ง Wasabi ที่มีส่วนของดราม่า-คอมิดี้ปนอยู่ก็ยังได้ และที่ลืมไม่ได้เลย สำหรับแฟนๆหนังไทย ก็คือการเอาองค์บากไปฉายเปิดตัวในประเทศแถบยุโรป ส่งผลให้คุณจาเป็นที่รู้จักในระดับโลกอย่างเช่นทุกวันนี้ . . .
+ยิ่งเป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งของเบสซง กับ “โรเบิร์ต มาร์ค ดาเมน” มือเขียนบทที่ทำงานร่วมกับเบสซงมาตลอดในช่วงหลังๆ และได้ “ปิแอร์ มอเรลล์” ผู้กำกับภาพ ฝีมือดีจาก The Transporter และ Kiss of the Dragon มาเป็นผู้กำกับให้ ซึ่งมีผลงานหนังแอ็คชั่นที่น่าจดจำ และถูกยกย่องพอสมควรในเรื่องคิวบู๊ และความหวือหวา จาก B 13 - Banlieue 13 ฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ที่ Taken จึงเป็นผลงานที่ไม่น่าคาดหวังอะไรมากมาย นอกจากความบันเทิงเน้นๆ แบบสำเร็จรูป อย่างเช่นที่เห็นๆกันมาในหนังเรื่องหลังๆที่ปะชื่อ “เบสซง” อยู่
+แต่ถึงแม้จะเป็นหนังสำเร็จรูป ทว่า Taken ก็ยังเป็นหนังที่ออกสู่ตลาดโลกเพียงไม่กี่เรื่อง ที่หยิบเอาด้านมืดของปารีสมาตีแผ่ โดยเฉพาะเรื่องการเป็นถิ่นอิทธิพลมืดของบรรดาแก๊งมาเฟียทั้งหลาย จากประเทศแถบยุโรปตะวันออก ที่ในหนังบอกว่าเป็นพวกอัลบาเนียน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มมาเฟียยุโรปตะวันออกพวกนี้ และพวกกลุ่มมิจฉาชีพจากประเทศแถบแอฟริกาตอนเหนือ กำลังสร้างปัญหาให้กับประชาชนอย่างหนัก โดยเฉพาะบรรดานักท่องเที่ยวที่ไปเยือนปารีส ซึ่งก็มีหนังน้อยเรื่องมาก ที่จะหยิบเอาปัญหาตรงนี้มาบอกต่อ . . .
+เนื้อหาของ Taken ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากมาย พล็อตหนังว่าด้วยการบุกข้ามประเทศไปช่วยลูกสาว ที่ถูกจับตัวไปโดยพวกแก๊งค้าเนื้อสดชาวอัลบาเนียน ของพ่อผู้เป็นอดีตสายลับชั้นหัวกะทิของอเมริกา ที่มีเวลาจำกัดจำเขี่ยเพียง 96 ชั่วโมงในการตามไปช่วยเหลือ ก่อนจะสายเกินไป . . อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆท่านก็คงจะเดาๆได้ ว่าอย่างไรก็ดี Taken ก็ต้องเป็นหนังดูเอามันเข้าว่า ในแบบเดียวกับ The Transporter หรือ Kiss of the Dragon อย่างไม่ต้องสงสัย . .
+หนังมีฉากแอ็คชั่นให้ได้ชมกันอย่างมากมาย และต่อเนื่องชนิดคัตชนคัตยังไงยังงั้น และก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมายในเนื้อหา ทั้งเงื่อนปมที่ถูกวาง และบทคลายเพื่อแก้ไข รวมทั้งเรื่องราวที่ถูกซุกเม้ม เช่นเบื้องหลังของบางตัวละคร ก็ไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมายแต่อย่างใด . . เพราะเหตุนี้ Taken ก็เลยกลายเป็นหนังตลาด ขายความบันเทิงขนานแท้ ด้วยฉากการต่อสู้มือเปล่าทั้งหลาย และฉากไล่ล่าต่างๆที่อัดใส่เข้ามา ไม่ต่างไปจากหนังอย่าง Rogue Assassin , Crimson River 2 หรือหนังเรื่องอื่นๆ ที่มีลุค เบสซงนั่งเก้าอี้ ผู้อำนวยการสร้าง . . .
+ที่จะต่างออกไปบ้าง ก็คือบทไบรอัน มิลล์ส ที่เล่นโดย “เลียม นีสัน” ที่พลิกบทบาทมาเล่นแอ็คชั่นแบบเต็มตัว ชนิดเหนือความคาดหมายพอสมควร เพราะนอกจากความสามารถ และทักษะเฉพาะตัวในแบบสายลับ ที่เอาอยู่ทั้งการต่อสู้ และการวางแผนแล้ว บทยังพยายามปูพื้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกสาว ที่ส่งให้ความพยายามแบบสุดขั้วของเขา ดูเป็นเหตุเป็นผล และทำให้ Taken มีส่วนของอารมณ์ดราม่าเจือปนอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้มากมาย ชวนซาบซึ้ง หรือเข้มข้น น่าประทับใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดแปลกอะไร เพราะไม่ว่าอย่างไร ที่สุดแล้วสิ่งที่หนังเน้นจะขาย ก็คือความเป็นหนังแอ็คชั่นนั่นเอง . . .
+การได้เลียม นีสันมารับบทนี้ ถือเป็นส่วนดี ในแง่การแสดงความเป็นพ่อ ที่ช่วงหนึ่งในชีวิตทำเวลาของตัวเอง และลูกหล่นหาย โดยเฉพาะในช่วงแรกๆของเรื่องที่หนังพยายามเน้นมาก . . แต่ด้วยความที่ภาพไม่ได้ดูแข็งแรง สด และกระฉับกระเฉงเหมือนเจสัน สเตแธม ฉะนั้นการที่ให้เขาเดินลุยเดี่ยวไปไล่อัดแก๊งอัลบาเนียนทั่วปารีส จึงดูตะขิดตะขวงใจไม่ใช่น้อย เพราะท่าทางของนีสันดูล้าเกินกว่าผู้ชมจะเชื่อว่าทำเช่นนั้นได้ ซึ่งตรงนี้นับว่าสไตล์กล้องที่หวือหวาของหนังแอ็คชั่นสมัยใหม่ ช่วยหนังเอาไว้ได้เยอะเลยทีเดียว . . และหากตัวละครนำของเรื่องเปลี่ยนวิธี มาใช้การแก้ไขปัญหาด้วยสมอง และการวางแผนที่คมคายเป็นหลัก Taken ก็น่าจะดูสมจริงสมจัง และมีมิติเพิ่มมากขึ้นกว่าหนังเรื่องอื่นๆก่อนหน้าของเบสซง แล้วก็จะใช้งานเลียม นีสันได้คุ้มค่ามากกว่านี้ . . .
+นั่นก็เพราะทำได้เพียงแค่นี้ Taken ก็เลยเป็นได้แค่หนังแอ็คชั่น ตลาดๆ ชนิดดูผ่านๆ แบบได้มันเน้นๆ อีกเรื่องหนึ่ง ที่มีมาให้ดูกันแบบไม่ขาดสายตลอดทั้งปี . . อีกเรื่องหนึ่ง เท่านั้นเอง . . .
+ให้ 2 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1691.html ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 17 November 2009 - 07:35 PM.