รีวิวหนัง Taken - สู้ไม่รู้จักตาย
rbgel 03 Mar 2009
+แปะชื่อของ “ลุค เบสซง” ในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และร่วมเขียนบท . . หากเป็นในช่วงยุค 90 เชื่อขนมกินได้เลยว่า Taken หรือชื่อไทย “สู้ไม่รู้จักตาย” น่าจะต้องเป็นหนังห้ามพลาดสำหรับคอหนังเรื่องหนึ่งอย่างแน่นอน . . แต่ก็อย่างที่รู้ๆกัน หลังจากผลงานไซไฟ-แอ็คชั่นที่น่าจดจำอย่าง The Fifth Element แล้ว สไตล์การทำงานของเบสซง ดูจะเน้นไปที่การทำงานในฐานะผู้อำนวยการสร้าง และร่วมเขียนบทเสียเป็นส่วนใหญ่ และแทบจะทั้งหมดล้วนผลิตผลงานในกลุ่มที่เป็นหนังขายความบันเทิงล้วนๆออกมาแทบทั้ง
สิ้น ไม่ว่าจะเป็นหนังชุด Taxi , The Transporter , Kiss of the Dragon , Unleashed , B 13 - Banlieue 13 หรือกระทั่ง Wasabi ที่มีส่วนของดราม่า-คอมิดี้ปนอยู่ก็ยังได้ และที่ลืมไม่ได้เลย สำหรับแฟนๆหนังไทย ก็คือการเอาองค์บากไปฉายเปิดตัวในประเทศแถบยุโรป ส่งผลให้คุณจาเป็นที่รู้จักในระดับโลกอย่างเช่นทุกวันนี้ . . .
+ยิ่งเป็นการกลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้งของเบสซง กับ “โรเบิร์ต มาร์ค ดาเมน” มือเขียนบทที่ทำงานร่วมกับเบสซงมาตลอดในช่วงหลังๆ และได้ “ปิแอร์ มอเรลล์” ผู้กำกับภาพ ฝีมือดีจาก The Transporter และ Kiss of the Dragon มาเป็นผู้กำกับให้ ซึ่งมีผลงานหนังแอ็คชั่นที่น่าจดจำ และถูกยกย่องพอสมควรในเรื่องคิวบู๊ และความหวือหวา จาก B 13 - Banlieue 13 ฉะนั้น ไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด ที่ Taken จึงเป็นผลงานที่ไม่น่าคาดหวังอะไรมากมาย นอกจากความบันเทิงเน้นๆ แบบสำเร็จรูป อย่างเช่นที่เห็นๆกันมาในหนังเรื่องหลังๆที่ปะชื่อ “เบสซง” อยู่
+แต่ถึงแม้จะเป็นหนังสำเร็จรูป ทว่า Taken ก็ยังเป็นหนังที่ออกสู่ตลาดโลกเพียงไม่กี่เรื่อง ที่หยิบเอาด้านมืดของปารีสมาตีแผ่ โดยเฉพาะเรื่องการเป็นถิ่นอิทธิพลมืดของบรรดาแก๊งมาเฟียทั้งหลาย จากประเทศแถบยุโรปตะวันออก ที่ในหนังบอกว่าเป็นพวกอัลบาเนียน ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว กลุ่มมาเฟียยุโรปตะวันออกพวกนี้ และพวกกลุ่มมิจฉาชีพจากประเทศแถบแอฟริกาตอนเหนือ กำลังสร้างปัญหาให้กับประชาชนอย่างหนัก โดยเฉพาะบรรดานักท่องเที่ยวที่ไปเยือนปารีส ซึ่งก็มีหนังน้อยเรื่องมาก ที่จะหยิบเอาปัญหาตรงนี้มาบอกต่อ . . .
+เนื้อหาของ Taken ไม่ได้มีอะไรซับซ้อนมากมาย พล็อตหนังว่าด้วยการบุกข้ามประเทศไปช่วยลูกสาว ที่ถูกจับตัวไปโดยพวกแก๊งค้าเนื้อสดชาวอัลบาเนียน ของพ่อผู้เป็นอดีตสายลับชั้นหัวกะทิของอเมริกา ที่มีเวลาจำกัดจำเขี่ยเพียง 96 ชั่วโมงในการตามไปช่วยเหลือ ก่อนจะสายเกินไป . . อ่านมาถึงตรงนี้ หลายๆท่านก็คงจะเดาๆได้ ว่าอย่างไรก็ดี Taken ก็ต้องเป็นหนังดูเอามันเข้าว่า ในแบบเดียวกับ The Transporter หรือ Kiss of the Dragon อย่างไม่ต้องสงสัย . .
+หนังมีฉากแอ็คชั่นให้ได้ชมกันอย่างมากมาย และต่อเนื่องชนิดคัตชนคัตยังไงยังงั้น และก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากมายในเนื้อหา ทั้งเงื่อนปมที่ถูกวาง และบทคลายเพื่อแก้ไข รวมทั้งเรื่องราวที่ถูกซุกเม้ม เช่นเบื้องหลังของบางตัวละคร ก็ไม่ได้อยู่เหนือการคาดหมายแต่อย่างใด . . เพราะเหตุนี้ Taken ก็เลยกลายเป็นหนังตลาด ขายความบันเทิงขนานแท้ ด้วยฉากการต่อสู้มือเปล่าทั้งหลาย และฉากไล่ล่าต่างๆที่อัดใส่เข้ามา ไม่ต่างไปจากหนังอย่าง Rogue Assassin , Crimson River 2 หรือหนังเรื่องอื่นๆ ที่มีลุค เบสซงนั่งเก้าอี้ ผู้อำนวยการสร้าง . . .
+ที่จะต่างออกไปบ้าง ก็คือบทไบรอัน มิลล์ส ที่เล่นโดย “เลียม นีสัน” ที่พลิกบทบาทมาเล่นแอ็คชั่นแบบเต็มตัว ชนิดเหนือความคาดหมายพอสมควร เพราะนอกจากความสามารถ และทักษะเฉพาะตัวในแบบสายลับ ที่เอาอยู่ทั้งการต่อสู้ และการวางแผนแล้ว บทยังพยายามปูพื้นถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลูกสาว ที่ส่งให้ความพยายามแบบสุดขั้วของเขา ดูเป็นเหตุเป็นผล และทำให้ Taken มีส่วนของอารมณ์ดราม่าเจือปนอยู่บ้าง แม้จะไม่ได้มากมาย ชวนซาบซึ้ง หรือเข้มข้น น่าประทับใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ซึ่งนั่นก็ไม่ผิดแปลกอะไร เพราะไม่ว่าอย่างไร ที่สุดแล้วสิ่งที่หนังเน้นจะขาย ก็คือความเป็นหนังแอ็คชั่นนั่นเอง . . .
+การได้เลียม นีสันมารับบทนี้ ถือเป็นส่วนดี ในแง่การแสดงความเป็นพ่อ ที่ช่วงหนึ่งในชีวิตทำเวลาของตัวเอง และลูกหล่นหาย โดยเฉพาะในช่วงแรกๆของเรื่องที่หนังพยายามเน้นมาก . . แต่ด้วยความที่ภาพไม่ได้ดูแข็งแรง สด และกระฉับกระเฉงเหมือนเจสัน สเตแธม ฉะนั้นการที่ให้เขาเดินลุยเดี่ยวไปไล่อัดแก๊งอัลบาเนียนทั่วปารีส จึงดูตะขิดตะขวงใจไม่ใช่น้อย เพราะท่าทางของนีสันดูล้าเกินกว่าผู้ชมจะเชื่อว่าทำเช่นนั้นได้ ซึ่งตรงนี้นับว่าสไตล์กล้องที่หวือหวาของหนังแอ็คชั่นสมัยใหม่ ช่วยหนังเอาไว้ได้เยอะเลยทีเดียว . . และหากตัวละครนำของเรื่องเปลี่ยนวิธี มาใช้การแก้ไขปัญหาด้วยสมอง และการวางแผนที่คมคายเป็นหลัก Taken ก็น่าจะดูสมจริงสมจัง และมีมิติเพิ่มมากขึ้นกว่าหนังเรื่องอื่นๆก่อนหน้าของเบสซง แล้วก็จะใช้งานเลียม นีสันได้คุ้มค่ามากกว่านี้ . . .
+นั่นก็เพราะทำได้เพียงแค่นี้ Taken ก็เลยเป็นได้แค่หนังแอ็คชั่น ตลาดๆ ชนิดดูผ่านๆ แบบได้มันเน้นๆ อีกเรื่องหนึ่ง ที่มีมาให้ดูกันแบบไม่ขาดสายตลอดทั้งปี . . อีกเรื่องหนึ่ง เท่านั้นเอง . . .
+ให้ 2 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1691.html ค่ะ
QUOTE
+ขอเก็บค่าอ่านคนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้นจ้า+
+ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+ +
+อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ
QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
+ดูหนังให้สนุกนะคะ+
Edited by rbgel, 17 November 2009 - 07:35 PM.
RONAN321 05 Mar 2009
ตอนแรกนึกว่าจะหนุกกว่านี้...ดูๆไปก็งั้นๆ แถมพระเอกลุยเดี่ยวต่างประเทศอีกเวอร์เกิน
vibha 05 Mar 2009
ผมให้สามดาวครึ่งค่อนไปทางสี่ ถ้าเต็มห้าดาวผมก็จะให้ สี่ดาวครึ่งค่อนไปทางห้า...
ผมชอบหนังที่ดูเอาสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ... เวลาที่นั่งดูหนังที่เข้าใจยาก ๆ มันพาลให้ปวดหัว แล้วไม่อยากดูต่อ บางทีก็หลับไปซะงั้น...
ผมชอบหนังที่ดูเอาสนุกแบบไม่ต้องคิดอะไรมาก ... เวลาที่นั่งดูหนังที่เข้าใจยาก ๆ มันพาลให้ปวดหัว แล้วไม่อยากดูต่อ บางทีก็หลับไปซะงั้น...
Brutal-Method 05 Mar 2009
ผมให้ 3 กระโหลก
ในฐานะที่ตัวหนัง
ให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจได้ดีระดับหนึ่ง
ในฐานะที่ตัวหนัง
ให้ความเพลิดเพลินบันเทิงใจได้ดีระดับหนึ่ง
Metropolis 07 Mar 2009
เวลาดูต้องปล่อยใจสบายๆ
อย่าพยายามคิดมากหรือสงสัยกับความเก่งของพระเอกแล้วจะสนุกครับ
ถือว่าดูได้เพลินๆ
อย่าพยายามคิดมากหรือสงสัยกับความเก่งของพระเอกแล้วจะสนุกครับ
ถือว่าดูได้เพลินๆ
t.EXIT 11 Mar 2009
สำหรับผมผมให้ความมันส์นี้ เต็มเลย
ความบู๊ ระห่ำได้ใจมาก
แต่ถ้าเทียบกับบอร์นแล้วผมว่า บอร์นดีกว่าในเรื่องความเป็นสายลับ แล้วก็ฉากขับรถของบอร์นลุ้นกว่าด้วย
อันนี้มันออกจะบู๊ไปหน่อย
ความบู๊ ระห่ำได้ใจมาก
แต่ถ้าเทียบกับบอร์นแล้วผมว่า บอร์นดีกว่าในเรื่องความเป็นสายลับ แล้วก็ฉากขับรถของบอร์นลุ้นกว่าด้วย
อันนี้มันออกจะบู๊ไปหน่อย
AnotherXIII 27 Mar 2009
เอามาดองไว้นานแล้ว ไม่ได้ดูซะที
เวลาหายไปไหนหมดเนี่ย
เอามาดองไว้นานแล้ว ไม่ได้ดูซะที
เวลาหายไปไหนหมดเนี่ย
เวลาหายไปไหนหมดเนี่ย
เอามาดองไว้นานแล้ว ไม่ได้ดูซะที
เวลาหายไปไหนหมดเนี่ย
badend 20 May 2009
ขอบคุณครับ เพิ่งมีโอกาส ได้ดู
ค่อนข้างประทับใจกับเรื่องนี้ในรอบ3เดือน ที่ดูจบแล้วไม่ลบไฟล์ออกจากเครื่อง
ค่อนข้างประทับใจกับเรื่องนี้ในรอบ3เดือน ที่ดูจบแล้วไม่ลบไฟล์ออกจากเครื่อง