จองตั๋วโปรหางแดงได้ไปกลับ รวมทุกอย่างแล้วคนละ2650
บินวันที่10/12/56 บิน7.00เช้า กลับ12/12/56 บิน9.10
ทริปนี้เที่ยวแต่ในตัวเมืองไม่ได้ไปซาปา/ฮาลองเบย/ฮาลองบก
เพราะมีเวลาน้อยห่วงหมา ทิ้งหมา4ตัวอยู่บ้าน2วันเตรียมน้ำ/อาหารไว้ให้
และเนื่องจากบินต่างประเทศเลยต้องเผื่อเวลาสำหรับพิธีการเข้า/ออกเมืองด้วย
เลยต้องตื่นแต่ตี4.30 เพราะบ้านดันอยุ่ลาดกระบัง หางแดงมันย้ายไปบินที่ดอนเมือง หมดค่าแท็กซี่ไป220 กลับ260 เพราะใช้บริการเค้าทเตอร์สนามบิน
(ขี้เกียจไปโบกข้างนอก ส่วนมาไปไกลๆมันไม่ไปจะรอรับแต่ฝรั่ง) :hmm:
จองโรงแรม Royal Palace Hotel 2 ผ่านทาง Booking.comเอาไว้ ไม่ต้องจ่ายตังก่อน ค่าห้องคืนละ25$พัก2คืนก็=50$ แล้วก็ขอรถรับ/ส่งสนามบินด้วยอีกเที่ยวละ18$X2=36$
รวมเป็นจ่ายที่โรงแรมตอนเช็คเอ้าท์86$ ไม่ต้องจ่ายอะไรเพิ่มแล้ว
ตัวโรงแรมเป็นตึกแถวห้องเดียว แต่ตบแบบหรูหราอลังการมาก โรงแรมในย่านนี้ส่วนมากจะเป็นตึกแถวเกือบทั้งหมดแต่ตบแต่งแบบอลังการงานสร้างมากๆ มีLCD 32" ให้ดูด้วย ในราคาแค่700เนี่ยเมืองไทยมีแต่จอแก้ว เผลอๆห้องพัดลม+ไม่มีไวไฟ
ที่เลือกรถของโรงแรมเพื่อตัดปัญหาเรื่องแท็กซี่ขี้โกงอันเลื่องชื่อของที่ฮานอย จะหอบสัมภาระขึ้นรถเมลก็คงไม่สะดวกนัก
เพราะสนามบินนอยไบ อยู่ห่างจากตัวเมืองราว30กิโล
และรถที่นี่พวงมาลัยซ้าย รถวิ่งเลนท์ขวา ซึ่งตรงข้ามกับบ้านเรา แถมจำกัดความเร็วไม่เกิน60km/h ซะด้วย
wifiที่นี่เยอะมากๆ เลยตัดปัญหาเรื่องซื้อsimที่นี่ใช้งานได้เลย ถ้าพักอยู่ในย่านเมืองเก่า(Old Quarter) บรรยากาศจะประมาณย่านข้าวสาร เยาวราช โบ้เบ้ สะพานขาวประมาณนี้
ใช้เวลานั่งรถจากสนามบินออกมาถึงตัวเมืองเกือบๆชั่วโมง พอข้ามสะพานแม่น้ำแดงเริ่มเข้าสู่ตัวเมือง ก็จะได้รับการต้อนรับด้วยปริมาณกองทัพรถมอเตอร์ไซค์ และเสียงบีบแตรปิ้นๆๆๆ ดังแทบจะตลอดเวลา
ไฟแดงมีก็แทบจะเหมือนไม่มี วิ่งขวั่กไขว่ปาดหน้าปาดหลังคนข้ามถนนตลอด คนขวัญอ่อนจะข้ามถนนลำบากล่ะ ถ้ารอให้รถว่างนี่ไม่ได้ข้ามแน่ๆ ทริกคือให้เดินไปเรื่อยๆแล้วมองคนขับรถไปด้วย รถจะเบี่ยงหลบเราเอง
*การข้ามถนนที่นี่น่าจะเป็นอีก1ไฮไลท์ที่ใครมาแล้วจะต้องลองฮะ
ฟุตบาทที่นี่จะเตี้ยมาก แถมขอบจะเทเอียงๆให้รถสามารถขี่ขึ้นไปจอดได้ด้วย รถที่นี่จะไม่จอดริมถนนแต่จะขับขึ้นจอดบนฟุตบาทเลย ฟุตบาทไหนกว้างก็มีรถยนต์จอด ตรงไหนแคบจะเป็นที่จอดมอไซค์
90%ของมอไซค์ที่นี่จะเป็นHonda มีตั้งแต่เก่าอย่างดรีมคุรุสภา,C70ก็มีเยอะ ไปยันรุ่นหัวฉีดออโต้CBR150i หน้าตาคล้ายบ้านเราเปลี่ยนนู่นนิดนั่นหน่อยแค่นั้น Yamaha,suzuki เห็นมีศูนย์บริการอยู่แต่Kawaไม่เห็นเลย
รถที่นี่ขี่กันแบบเดิมๆไม่มีการแต่งใดๆเลย ร้านอะไหล่แต่งไม่เจอ มีแต่ร้านซ่อมมอไซค์แบบเก่าๆอยู่ทั่วทุกถนน
สิ่งที่ไม่เจอตลอดทริปที่นี่เลยคือ หมาข้างถนน/แมว/สาวอ้วน รถชนก็นานๆทีเพราะขับกันช้ามากเลยเบรคกันทัน
ถ้าแว้นท์ไทยมาขับบนถนนที่นี่คงจะเครียดแถมด่ากระจาย แต่ที่นี่แค่บีบแตรแล้วก็ขับไปต่อ
ใครมาเที่ยวเป็นหมู่ประมาณชายล้วนๆ ผมแนะนำให้ไปเดินเที่ยวในตลาดดงซวนฮะ
ตลาดไม่ใหญ่มากแต่อัดแน่นไปด้วยเสื้อผ้าและเครื่องประดับ ทำไมน่ะรึ? ก็เพราะแม่ค้าที่นี่99%เป็นสาวๆ
และเนื่องจากไม่มีคนอ้วนเลย ซึ่งน่าจะมาจากวัฒนธรรมการกินผัก ทำให้หุ่นดี ผิวขาว ชอบใส่เสื้อ/กางเกงรัดๆ เวลาหันหลัง/นั่งหยิบของ ร่องตูดขาวๆ ขอบกางเกงในสารพัดสี จะโผล่ออกมาทักทายชาวโลก :a1:
หรือถ้าหันหน้ามาแต่นั่งยองๆ(ที่นี่เก้าอี้จะตัวเตี้ยๆ)ร่องอกขาวๆอวบๆจะออกมาทักทายแทน และรู้สึกว่าจะเป็นเรื่องปรกติธรรมดาของที่นี่ซะด้วย ไม่มีใครใส่ใจจะปิดบังอะไรเลย
และขอบอกว่าทางเดินแคบมากๆ เพราะเต็มไปด้วยกองเสื้อผ้าของแต่ละร้าน บางคนก็นอนหลับในกองผ้านั่นแหละ เปิดโอกาสให้เราใช้สายตามองรูปร่าง แทนที่จะมองสินค้าได้สะดวก ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องปรกติอีกนั่นแหละ :a2:
*เป็นอีก1ไฮไลท์ที่อยากให้หนุ่มๆได้มาเดินฮะ
ร้านค้าขายในย่านเมืองเก่า ทิศเหนือทะเลสาปคืนดาบ(ฮวานเกี๋ยม)ส่วนใหญ่เข้าใจภาษาอังกฤษได้ดี บางร้านก็พูดไทยได้ด้วย แต่ถ้าเป็นร้านอาหารพื้นเมืองข้างทาง ต้องภาษาเวียดนามแล้วภาษามือ+เครื่องคิดเลขเท่านั้น
เดินผ่านร้านนี้แว้ปแรกแรกตกใจเลยนึกว่าสาวน้อยคนนั้นไม่ใส่กางเกง จนต้องเพ่งมองถึงบางอ้อว่าใส่กางเกงแนบเนื้อสีน้ำตาล :a1:
เดินรอบริมทะเลสาปทางเหนือเพื่อข้ามสะพานแสงอาทิตย์(กิ่วเทฮุก) ไปที่วัดหง็อกเซินที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาป
เจอสมุดเล่มใหญ่เลยถ่ายรูปซะเหมือนเป้นแลนด์มาร์คที่นี่ใครมาก็ต้องมาถ่าย
ร้านขายของที่ระลึกริมทะเลสาปก่อนข้ามสะพานเทฮุก
เดินข้ามสะพานไปวัดขนาดตอนเที่ยงหมอกยังลงหนักไม่เห็นแสงอาทิตย์เลย เห็นแต่ดวงอาทิตย์อ่อนๆ ลมโชยเอื่อยๆ
มื้อแรกในฮานอยเป็นเฝอกา(ไก่)กับ บุ๋นจ่า(ขนมจีนหมูปิ้ง) สนนราคารวมแล้ว แสนสามเอ้งงงงง~!!...
บุ๋น(เส้นขนมจีน)กินกับหมูย่าง(จ่า)หมูจะคลุกซีอิ้วย่างแค่นั้น รสชาติอย่าให้บอกเลย เทียบกะบ้านเราไม่ติด
ถนนย่านนี้เล็กตัดกันคล้ายตาข่าย เส้นนึงก็จะขายประเภทนึง เช่นรองเท้าก็ยาวไปเลย กระเป๋าก็กระเป๋ากันยาวเลย มี36สายหมายถึง36อาชีพ
ของฝากที่นี่น่าจะเป็นพวกตุ๊กตาไม้ใส่งอบเวียดนาม,งานไม้ฝังมุก,กาแฟ กาแฟที่นี่เด็ดมากคือกาแฟขี้ชะมดอันแสนแพงที่บ้านเรา ซึ่งเป็นพันธุ์โรบัสต้าจุดเด่นคือรสเข้มหนักแต่ไม่หอมมากและที่นี่กินกาแฟดำ+น้ำตาล ถ้าต้องการใส่นมเค้าจะให้มาเป็นนมข้นหวานแทน
ต่างกับบ้านเราที่เป็นกาแฟพันธุ์อะราบิก้า ไม่เข้มแต่กลิ่นหอมซึ่งเอามาทำเป็นคาร์ปูชิโน่/เอสเพรสโซ่ ใส่นมสดหรือครีมเทียม กาแฟญี่ห้อขึ้นชื่อที่สุดคือ Trung Nguyen(ตรุงเหงียน)เปรียบกับบ้านเราก็ เนสกาแฟ
**เรื่องกาแฟเป็นความคิดเห็นส่วนตัวผิดพลาดต้องขออภัย
มาว่ากันที่กาแฟขี้ชะมดต่อ ที่มันแพงก้เพราะขั้นตอนการผลิตมันยุ่งยากซับซ้อน เอากาแฟให้ชะมดกิน(ที่นี่เรียกชะมดว่าเพียงพอน ถ้าอินโดจะเรียกLawak)
ซึ่งชะมดจะเลือกกินเฉพาะเมล็ดกาแฟที่สุกแล้วเท่านั้น พอกินเข้าไปเอ็มไซน์ในกระเพาะมันจะย่อยแต่เปลือกของเมล็ดกาแฟออกไป
เหลือแค่ตัวเมล็ดล้วนๆ แล้วอึออกมาเป็นแท่งยาวๆ เค้าจะเอาไปล้างน้ำทำความสะอาด ตากแห้ง คั่ว แล้วส่งตามร้านขายเป็นเมล็ดนี่แหละ ทางร้านจะมีเครื่องบดเมล็ดกาแฟและเครื่องซีลถุงกันทุกร้านเลย
แม่มบดได้ไวมาก ตอนผมตกลงใจซื้อ นึกว่าจะเอาที่แพ็คแล้วให้ เค้าบอก เดี๋ยวบดให้สดๆ แล้วเดินไปตักเมล็ดกาแฟใส่เครื่อง เปิดสวิทย์ปรื้ดเดียวออกมาเป็นผงเรียบร้อบร้อย ไม่ถึง1วินาที ป๊าดดดด...
ตักผงที่บดแล้วใส่ถุงซีลเรียบร้อย กลิ่นกาแฟตอนลงเครื่องบดนี่หอมฟุ้งเลย แต่หอมคนละแบบกับอะราบิก้าบ้านเรานะ อันนี้หอมหนักๆเข้มๆ
ถ้านั่งกินกาแฟขี้ชะมดที่ร้านนี่เลยก็มีบริการ แก้วละ4หมื่น5ถึง5หมื่นเป็นเงินไทยก็ตก 75฿
ที่เมืองไทยเห็นมีคนเอาชะมดมาเลี้ยงทำกาแฟแล้วเหมือนกันที่กาญ แต่ขายแก้วละ500 :hmm:
อ้อตอนขากลับตรงเกทขาออกจากฮานอย มีพวกร้านดิวตี้ฟรี เห็นมันมีขาย "กาแฟขี้กระรอก" ด้วยนะฮะ อีกหน่อยคงจะมีอีกหลายขี้กันหล่ะ รอซื้อกาแฟ"ขี้นางงาม" เอาละกัน :hmm:
ใช้เงินด่องคุ้มที่สุด ลองมาก็เงินบาท แต่มีรับเฉพาะในสถานที่เที่ยวสำคัญๆอย่างสุสานลุงโฮ
สว่น $จ่ายได้เกือบทั่วไป ร้านมินิมาร์ทก็รับ แต่เสียเปรียบสุดๆเพราะจะโดนปัดเศษออก
แลกเงินด่องตามแบ้งค์ในเมืองได้ทั่วไป และก่อนกลับให้แลกกลับหรือใช้ให้เกือบหมดไปเลย เพราะกลับไทยแล้วหาที่แลกเงินด่องแทบไม่มีใครรับ ไม่เหมือนเงิน$
ร้านอาหารข้างทางทั่วไปจะรับแต่เงินด่อง ร้านดูไม่ค่อยสะอาดนัก และมีกลิ่นคาวมาก ที่นี่จะไม่ใส่ผงชูรส หรือเครื่องเทศอย่างบ้านเรา
รสชาติอาหารจะมีแต่จืดนำมาเลย ส่วนใหญจะเป็นเฝอ เทียบกะเมืองไทยก็ก๋วยเตี๋ยวน้ำ ข้าวราดแกงก็มีแต่จะจืด และประกอบไปด้วยผักๆๆ เต้าหู้ๆๆ
มากับแฟนผมไม่ได้นั่งร้านห้องแถวพวกนี้เลย เข้าไปยืนๆแล้วแฟนสะกิดออก บอกไม่ไหวกลิ่นเหม็นคาวมากๆ เป็นทุกร้าน สุดท้าย ซื้อมาม่าเวียดนามในมินิมาร์ท ไปชงกินที่ห้อง :hmm:
เนื้อวัว(โบ) เนื้อไก่(กา) หมูกะทะแบบบ้านเราก็พอมีนั่งเก้าอี้เตี้ยๆ ล้อมวงกันริมฟุตบาทนั่นแหละ อากาศในหน้าหนาวที่ฮานอยหนาวกะลังดีมากกว่าเชียงไหม่นิดหน่อย (แต่หลังกลับมาได้อาทิตย์นึงอากาศที่โน่นลดลงเห็น7-8องศาเอง) :hmm:
ร้านนี้คนโคตรเยอะเลยทั้งคนเวียดนามทั้งฝรั่ง
เหมาะแก่การล้อมวงกินมาก จะเห็นร้านน้ำชา-ปาท่องโก๋อยู่ทั่วไป แต่ที่เยอะยิ่งกว่าคือ ร้านขายเมล็ดทานตะวัน ไอ้ที่บ้านเราเอาไว้ให้นกแก้วกินนั่นแหละ ที่นี่มีเยอะมาก
ยิ่งละแวกรอบๆทะเลสาปคืนดาบ นั่งแทะกันแทบจะทุกแยกทุกซอย เปลือกงี้เกลื่อนเลย :hmm:
ใครมาฮานอยไม่ไปเคารพศพลุงโฮเรียกว่ามาไม่ถึงเวียดนาม ลังบ๊าก(สุสานลุงโฮ) จะอยู่ห่างจากย่านเมืองเก่าราวๆ2กิโล
แค่นี้เดินไปได้สบายๆกับอากาศเย็นๆระหว่าง17-22องศา เดินไปทางถนนเดียนเบียนฟูใช้เวลา30-40นาทีก็ถึง แต่จะเป็นด้านหลังซึ่งเป็นสนามหญ้ามีทหารเฝ้าไม่พูดไม่จา กวักมือไล่อย่างเดียว
เลย ต้องเดินอ้อมเลาะไปเรื่อยๆกว่าจะไปถึงทางเข้าด้านหน้าประมาณกิโลนึง :hmm:
ต้องเดินตามทางบังคับแล้วมีทหารคอยโบกไม้โบกมือชี้ให้เดิน ไม่มีป้ายชี้บอกเลย
เค้าห้ามเอากล้องเข้าไปให้ฝากไว้ที่ด้านหน้า พอเดินเข้าไปเคารพศพลุงโฮเสร็จ เดินออกมา กล้องมารออยู่ที่ทางออกแล้ว มาเร็วมากอ่ะ
เดินมาอีกนิดจะเจอบ้านพักที่ลุงโฮเคยอยู่อันนี้ต้องซื้อบัตรเข้าด้วย 2หมื่นด่องก็ตก30฿ไม่แพง ก็เลยเข้าไปดูซะหน่อย ร้านค้าที่นี่พูดไทยได้นิดหน่อยจ่ายด้วยเงินไทยก็ได้ เจอพระไทยมาธุดงด้วย
คนไทยมากับทัวร์เยอะเหมือนกันนะ เสียงเจื้อยแจ้วกันเลยทีเดียว แต่เรามาแบบแบ็คแพ็คเอง ซึ่งก็มีทั้งข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ เดินดูจนพอใจแล้วก็เดินกลับ
ขากลับแวะนั่งกินกาแฟร้านกาแฟชื่อดังของที่นี่ Trung Nguyen กาแฟที่นี่เป็นพันธุ์โรบัสต้า และที่นี่กินกาแฟดำขมsusๆ
ชงแบบกาแฟน้ำหยด ถ้าอยากใส่นมเค้าจะเอานมข้นหวานมาให้ผสม รสชาติกาแฟมันจะเข้มกว่าอะราบิก้าบ้านเรามาก แต่กลิ่นจะไม่หอมเท่าและมีคาเฟอีนมากกว่าด้วย ไวไฟที่นี่หาง่ายนั่งกินร้านไหนขอpassเค้าได้เลย
พอเดินกลับถึงโรงแรม พักขาซะหน่อยแฟนก็พาออกเดินช๊อปอีกแล้ว :hmm:
ร้านขายหมวก/หมวกกันน๊อคที่นี่จัดร้านได้หรูมาก หมวกสารพัดแบบ
ที่นี่นิยมใส่หมวกกันน๊อคแบบครึ่งใบ รูปทรงสวยจริงๆบ้านเราไม่มีแบบนี้เลย อยากได้แต่จนปัญญาจะหิ้วกลับ
ร้านนี้อยู่ตรงข้ามโรงแรมเป้ะเลย
ราคาตก2แสน5หมื่นด่องก็ตกเกือบๆ4ร้อย ใครเอากลับได้ก็ใส่เท่ห์เลยไม่เหมือนใคร
ข้างๆร้านหมวกมีร้านรองเท้าผ้าใบอยู่1ห้องแถวเล็กๆ แต่คนซื้อเยอะมากกกก..
เปิด4โมงเย็นถึง4ทุ่ม ดูป้ายราคาแล้วไม่น่าแปลกใจ เพราะถูกมาก 5หมื่น 7หมื่น แพงสุดแสนหนึ่งหมื่น
อยากจะเดินเข้าไปเหมือนกันแต่สู้จำนวนคนไม่ไหว ประกอปกับขี้เกียจหิ้วของหนักกลับเพราะขี้เกียจรอโหลดใต้เครื่อง
แฟชั่นหน้าหนาวที่นี่เสื้อกันหนาวเยอะมากๆ สารพัดรูปทรง ตัวสั้น,ตัวยาว,ตัวใหญ่,ตัวรัดเข้ารูป
ถูกใจสาวขาช๊อปนักล่ะ แฟนซื้อทรงมิชลินไปตัวนึกตก4แสนห้าหมื่นด่องก็6ร้อยกว่าบาท เมืองไทยคงขายพันกว่าๆ อุ่นมากกก..
รอบๆทะเลสาปตอนกลางวันกับตอนกลางคืนความสวยคนละแบบเลย *รูปนี้ไปจิ้กเค้ามาเห็นว่าถ่ายสวยดี
http://upload.wikime...ht_panorama.jpg
กลางคืนรถน้อยลงเสียงแตรก็ลดลงไปด้วย แต่คนออกมาเดิน นั่งกินอาหารตามร้าน กินน้ำชาแทะเมล็ดทานตะวัน เยอะขึ้น
ผมเดินวนรอบทะเลสาบไปถ่ายรูปกับอณุเสาวรียพระเจ้า Ly Thai To ผู้นำดาบวิเศษปราบพวกหมิง(จีน)ปลดปล่อยเวียดนามเป็นอิสระ เรื่องเมื่อหลายร้อยปีก่อน
เดินต่อมาทางด้านใต้อีกนิดเจ้าห้างอะไรไม่รู้ หรูประมาณพาราก้อน เห็นมีคู่บ่าวสาวมายืนถ่ายภาพอยู่หลายคู่มากๆ เข้าไปเดินในห้างดูไม่ใหญ่ออกจะเล็กด้วยซ้ำ แต่จัดได้หรูทีเดียว
เริ่มหิวเลยเดินออกมา ข้ามถนนไปเจอคนขายขนมปังบาร์เก็ตน่ากินดีเลยสั่งชี้โบ้ชี้เบ๊ไปที่ไข่ไก่
ได้ผลเค้าหยิบไข่ออกมา2ฟองมาตีไข่เหยาะพริกไทย แล้วเทใส่กระทะไฟอ่อนๆเหมือนทำออมเล็ตแล้วผ่ายัดในขนมปังให้กิน
ขนมปังอร่อยดี กรอบนอกนุ่มในแต่ไข่ออมเล็ตไม่มีรสชาตอะไรเลย จ่ายไป2หมื่นด่อง
เดินต่อผ่านหน้าตึกไปรษณีย์ กางแผนที่เดินไปทางโรงแรมแวะผ่านโบสท์เซนต์โยเซฟ ก่อนเข้าโรงแรมไม่ลืมแวะมินิมาร์ทไกล้ๆเพราะแฟนไม่ยอมนั่งกินตามร้านเลย
บอกว่ามันเหม็นคาวและดูไม่สะอาด ไม่น่ากิน เลยต้องพึ่งมาม่าเวียดนาม :hmm:
อ้อ โรงแรมที่พักพนักงานเฟรนด์ลี่ย์มากๆ พยายามชวนพูดคุยตลอด แอร์ในห้องไม่เคยได้เปิดเลย
มาหน้าหนาวอุณหภูมิระหว่าง16-24 ถ้ามาครั้งหน้าหาห้องพัดลมยังได้เลย นอนห่มผ้าทั้งคืน
ห้องน้ำมีน้ำอุ่นให้อาบร้อนดีมาก ห้องก็สะอาดสะอาด น้ำ/ขนม ที่มีบริการก้ราคาไม่แพง แค่1$ ครึ่ง$
แถมตอนเช็คเอ้าท์เวลา6.00น ทางโรงแรมยังมีของขวัญเล็กๆเป็นกาแฟ3in1 G7 ให้มาอีกกล่องนึงด้วย ประทับใจมาก
ห้องพักคืนละแค่700กว่าเองนะนี่ ขากลับนี่เค้าเรียกแท็กซี่ไปส่งให้แทน แอบเห็นเค้าจ่ายตังค์แท็กซี่ให้ด้วย ต่างจากขามา ที่ส่งรถโรงแรม(vios)ไปรับ
เห็นเค้าก็กดมิเตอร์นะถึงจะไม่เก็บเงินเราก็เถอะ ดูจากมิเตอร์คำนวนแล้วน่าจะราวๆเกือบ400บาท เราจ่ายโรงแรมไป18$ ก็โอเค
แฟนใส่เสื้อหนาวมิชลินที่ซื้อไหม่กลับ พอถึงดอนเมืองรีบถอดเลยบอกร้อน
อันนี้ของฝากเพื่อนไลน์มาบอกว่าอยากได้กาแฟขี้ชะมดเลยซื้อมาเผื่อ ที่ชงกาแฟน้ำหยดกับที่อุ่นกาแฟด้วย
ไว้นึกอะไรได้จะมาเพิ่ม
Edited by manu16, 27 December 2013 - 10:09 PM.