-The Times They Are A-Changin'-
+แค่เพียงเห็นตัวอย่างหนัง หลายๆ ท่านก็พอจะเดาออกแล้วว่า Watchmen นั้นจัดอยู่ในกลุ่มของแอนตี้-ฮีโร่อย่างแน่นอน!! . . หากลองไล่เลียงจากเครดิตงานหนังเก่าๆ ที่สร้างจากต้นฉบับนิยายภาพของอลัน มัวร์ ทั้งที่ขึ้นจออย่างได้ใจผู้ชม และโดนโห่ ชนิดชวนผิดหวัง นับจาก From Hell , The League of Extraordinary Gentlemen หรือกระทั่ง V For Vendetta ของพี่น้องวาโชสกี้ (อำนวยการสร้าง) แล้วนำมาเป็นบรรทัดฐานละก้อ . . อารมณ์ และความรู้สึกของงานใหม่ชิ้นล่าอย่าง Watchmen ก็คงต้องบอกว่าแทบจะต่างกันชนิดสุดขั้วเลยก็ว่าได้ เพราะแม้จะออกมาพบผู้ชมด้วยรูปลักษณ์ที่ชวนให้นึกถึงกลุ่มฮีโร่ที่สู้กันเป็นทีมแบบ
เดียวกับ X-Men แล้ว แต่ก็ใช่ว่า Watchmen จะเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ ในแบบเดียวกับที่เคยๆ ดูกันมาซะทีไหน!? แม้เครดิตของผู้กำกับแซ็ค สไนเดอร์ดูจะเป็นคนทำหนังตลาด เน้นความบันเทิงที่ทำหนังได้สนุก และ “ถึง” คนหนึ่ง ไม่ว่าจะมองจากงานรีเมคอย่าง Dawn of the Dead หรือว่า 300 ก็ตาม!!
+ด้วยเรื่องราวที่หนักอึ้ง และขึงขัง จริงจังตลอด 2 ชั่วโมงกว่าๆ ประเด็นที่หม่นทึม และนัยเสียดสีที่พุ่งเป้าถึงวิถีชีวิตของมนุษย์ การดำรงอยู่ และด้านมืดของวีรบุรุษ ตลอดไปจนถึงปมการเสียสละ และประเด็นวิพากษ์การเมือง ที่นำเสนอออกมาด้วยความรุนแรง และภาพโหดๆ กันอย่างจะจะ แบบเต็มพิกัด . . .
+แน่นอนว่าสำหรับผู้ชมที่ชื่นชอบหนังหนักๆ เข้มข้นด้วยมุมมอง แนวคิด ที่ต้องเกาะติดกับเรื่องราวไปโดยตลอด พร้อมขบคิด และชอบการตีแผ่ธาตุแท้ ด้านมืดของมนุษย์ออกมาให้เห็น และเย้ยหยันกันจังๆ ซึ่งๆ หน้า Watchmen ก็คือหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ดูสนุก ดุดัน และแตกต่างจากเรื่องอื่นๆ ที่ดูตลาดจ๋าไปทันใด ก็คงจะไม่ผิดนัก . . แต่หากผู้ชม นิยมเสพความบันเทิงเข้าว่า เจ้า 2 ชั่วโมงตื้อๆ กว่าๆ ก็น่าจะเป็นความน่าเบื่อ แสนเซ็ง ในระดับที่ว่าความเก๋าของสไตล์ และเงื่อนปมเด็ดๆ ที่หนังวางเอาไว้ ชนิดผู้กำกับเก่งแค่ไหนก็ไม่สามารถดักเอาไว้ได้อยู่เช่นกัน (^ ^)
+Watchmen สร้างจากนิยายภาพขนาด 12 เล่มจบ ในชื่อเดียวกันนี้ของอลัน มัวร์ และเดฟ กิ๊บบอนส์ ที่พาผู้อ่านเข้าสู่ด้านมืดของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่ ผ่านพล็อตเรื่องซับซ้อนในแบบเดียวกับหนังสืบสวนสอบสวนทั่วไป . . ซึ่งหลังจากเปิดเรื่องด้วยความเป็นมา และเป็นไปของกลุ่มซูเปอร์ฮีโร่ ผู้เรียกตัวเองว่าเดอะ มาสค์ กลุ่มแรก ที่มีฉายาที่อเมริกันชนทั่วไปรู้จักกันดีในชื่อของ “มินิทเม็น” มาจนถึงสมาชิกในยุคที่ 2 ซึ่งเปลี่ยนชื่อทีม กลายเป็น “ว็อทช์เม็น” ซึ่งกำลังประสบปัญหา จำต้องปลดเกษียณตัวเองจากสถานภาพวีรบุรุษ เพราะกฎหมาย “คีน แอค”ฉบับใหม่ที่ตราโดยประธานาธิบดี “ริชาร์ด นิกสัน” ซึ่งดำรงตำแหน่งติดต่อกันเป็นสมัยที่ 4 หลังจากชนะสงครามเวียดนาม!!
+แบ็คกราวนด์ของเรื่องปูให้ผู้ชมเห็นถึงความเป็นไปในโลกยุค 80’s ที่ซึ่งสถานการณ์เมืองโลกในขณะนั้น สงครามเย็นระอุถึงขั้นเตรียมวางสงครามนิวเคลียร์ ซึ่งตรึงเครียด จดจ่อ และสามารถเกิดขึ้นได้แทบทุกวินาที โดยเฉพาะเมื่อหสภาพโซเวียตยาตราทัพมาประชิดยังชายแดนอัฟกานิสถานในที่สุด . . .
+หนังเข้าเรื่อง โดยตั้งต้นจาก “เอ็ดเวิร์ด เบลค” หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “เดอะ คอมมิเดี้ยน” หนึ่งในสมาชิกของกลุ่มว็อทช์เม็น (และกลุ่มมินิทเม็น รุ่นแรก) ถูกฆาตกรรม และผู้ที่เข้ามาตามคดี คอยสืบสวนหาตัวคนร้ายก็คือ “รอแช็ค” สมาชิกในกลุ่มว็อทช์เม็นเช่นกัน ผู้รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และพบเบาะแสบ่งชี้ว่าสมาชิกที่เหลืออาจจะเป็นเป้าหมายในการลอบสังหารครั้งต่อไป เขาจึงไปเตือนเพื่อนๆคนอื่นๆ ให้ระวังตัว ซึ่งประกอบไปด้วยแดน ไดรเบิร์ก หรือ “ไนท์โอวล์” (รุ่นที่ 2) , ด็อกเตอร์ แมนฮัตตั้น , ซิลค์ สเปคเตอร์ และแอเดรียน ไวดท์ หรือโอซีแมนเดียส ขณะที่โลกก็เข้าใกล้ช่วงเวลาวิกฤติ เกือบจะเกิดสงครามนิวเคลียร์มากเข้าไปทุกทีๆ
+จากการสืบสวน ชอแร็คไม่เพียงค้นพบเงื่อนงำว่าแท้ที่จริงแล้ว เป็นหนึ่งในสมาชิกกลุ่มว็อทช์เม็นนี่เองที่อยู่เบื้องหลังการสังหารเดอะ คอมมิเดี้ยน แต่ยังพบว่าเขาผู้นี้ยังมีแผนทำลายเมืองนิวยอร์คให้เป็นจุล เพื่อหวังจัดระเบียบใหม่ให้กับโลกอีกด้วย . . .
+แต่ยิ่งเดินหน้า ไปๆ มาๆ รอแช็คก็ตกเป็นผู้ต้องหา พลาดท่าถูกจับเข้าคุกซะเอง ขณะที่ดร.แมนฮัตตั้นก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นต้นเหตุทำให้คนใกล้ชิดรอบตัวป่วยเป็นโรค
มะเร็ง จนถึงกับตรอมใจ จำต้องหนีไปอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนดาวอังคารในที่สุด ทำให้สเป็คเตอร์ที่เป็นแฟนสาวของเขา และอยู่ในช่วงระหองระแหงกันหันไปมีความสัมพันธ์ลึกๆ กับไนท์ โอวล์ . . ส่วนตัวโอซีแมนเดียสเองก็ถูกลอบสังหารเช่นกัน แต่เอาชีวิตรอดมาได้หวุดหวิด . . ยิ่งแต่ละเวลาผ่านเนิ่นนานไป นอกจากปัญหาส่วนตัวของเหล่าฮีโร่ที่ยากจะคลี่คลายแล้ว สถานการณ์รายวันของโลกก็ยิ่งใกล้วันแตกดับเข้าไปทุกขณะเช่นกัน ชนิดไม่น่าจะมีใครยับยั้งสงครามมรณะครั้งนี้ได้เลย . . .
+ที่เดินหน้าไปพร้อมๆ กับภาพการสืบสวนจอมบงการ ผู้อยู่ในเงามืดก็คือ ชีวิตหลังเกษียณของซูเปอร์ฮีโร่กลุ่มนี้ ซึ่งตัวตั้งตัวตีในการตามสืบค้นคดี และกระชากหน้ากากคนผิดก็คือรอแช็ค ซึ่งบัดนี้กลายมาเป็นคนนอกกฎหมายเต็มตัว เพราะยังคงเดินหน้าปราบปรามอาชญากรร้ายต่อไป โดยไม่สนใจกฎหมายคีน แอ็คแต่อย่างใด!? . . ขณะที่ไนท์โอลว์ หรือแดน ไดรเบิร์กก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับชีวิตที่เรียบง่าย ในฐานะปุถุชนธรรมดา . . .
+มาถึงดร.แมนฮัตตั้น หรือ “จอน ออสเตอร์แมน” ซูเปอร์ฮีโร่เพียงคนเดียวที่มีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ในกลุ่ม อันเนื่องมาจากความผิดพลาดในการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ผู้ผันตัวจากคราบของเครื่องจักรสังหารในสงครามเวียดนามของรัฐบาลอเมริกัน มาเป็นที่ปรึกษาของทีมวิจัยด้านวิทยาศาสตร์ และพลังงานของสหรัฐ ซึ่งกำลังค้นคว้าหาแหล่งพลังงานทดแทนให้กับโลกอย่างอุตสาหะ โดยมีซิลด์ สเป็คเตอร์ สมาชิกหญิงหนึ่งเดียวของว็อทช์เม็น ผู้เป็นแฟนสาวของเขา ซึ่งเกษียณตัวเองมาทำหน้าที่แม่บ้านคอยปรนนิบัติให้ . . ส่วนฮีโร่คนสุดท้าย อย่างโอซีแมนเดียส ชายที่ว่ากันว่าฉลาดที่สุดในโลก ผู้ผันตัวกลายมาเป็นนักธุรกิจที่มั่งคั่งที่สุด จากการเดินหมากทางการเงินที่ชาญฉลาด อันต่อยอดมาจากฉากหน้าการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ของเขา . . .
+สารพัดภาพเหตุการณ์ย้อนอดีต และสถานการณ์ในยุคปัจจุบัน เผยให้ผู้ชมเห็นถึงธาตุแท้ และปมในใจของ 5 ฮีโร่ และ 1 ซูเปอร์ฮีโร่ได้อย่างชัดเจน ไม่ต่างจากเราๆ ท่านๆ แม้แต่น้อย . . ทุกคนล้วนมีบาดแผลในใจ และยังมีกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ที่มีส่วนผลักดันให้กระทำความชั่วได้ทั้งสิ้น . . .
+ภายใต้เรื่องราวที่เหมือนหนังสืบสวน-สอบสวน . . สิ่งแซ็ค สไนเดอร์นำเสนอไปพร้อมๆ กับเรื่องราวหนักๆ ซึ่งดูจะเป็นเรื่องจริงจัง และแข็งแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ เรื่องของการใช้ชีวิต และการคงอยู่ในโลกมนุษย์ของซูเปอร์ฮีโร่ ที่ภายใต้ชื่อเสียง ภายใต้หน้ากากยาง ล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยบาดแผล ฟอนเฟะอยู่ภายในเหมือนกันทั้งนั้น ชนิดดีได้กับคนทั้งโลก แต่อาจจะเป็นคนโฉดกับคนใกล้ชิดไม่แพ้กัน . .
+ทุกคนมีด้านมืด ถูกกิเลสเย้ายวน มีความหลง มัวเมา ทั้งเสน่หา และราคะพอๆ กัน เพียงแต่จะเลือกเก็บ เลือกระงับกักไว้ได้ขนาดไหน ก็สุดแล้วแต่การควบคุมใจของใคร . . ซึ่งแซ็ค สไนเดอร์ก็ฉลาดที่เลือกจะให้หนังเดินหน้าไป เคียงคู่กับการค่อยๆ เผยปมข้างในของตัวละครแต่ละคนออกมา ทีละปม ทีละตัว . . หรือหากจะมองว่าเขาเคารพ และคารวะต้นฉบับสุดหัวใจก็ว่าได้เช่นกัน (^ ^)
+เพราะอย่างที่บอก แม้พวกเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ . . ทว่าเอาเข้าจริงๆ ก็หาได้จากจากคนธรรมดาๆ สามัญทั่วไปไม่!? เพราะที่สุดแล้วทุกคนต่างก็ถูกหลอกใช้ เป็นเพียงเบี้ยเล็กๆ บนหมากกระดานผืนใหญ่ ซึ่งเป็นกลไกแห่งอำนาจของผู้ที่มีอำนาจในมือมากกว่าอีกทีเช่นกัน . . .
+มองกันดีๆ ซูเปอร์ฮีโร่ทุกๆ ตัวใน Watchmen ก็สามารถเทียบมนุษย์เดินดินอย่างเราๆ ได้สบายๆ ในหลายๆแง่มุม หรือในสถานภาพต่างๆ ที่ต่างก็มีปัญหา และหาทางระบายความเครียดในใจตนเองในวิถีที่ต่างกัน บ้างอาจถ่ายเทความเกรี้ยวกราดไปสู่คนรอบข้าง , บ้างก็ทุ่มเข้าใส่หน้าที่การงาน จนมองข้ามหลงลืมคนอื่นไป และที่สำคัญลืมได้กระทั่งการแสดงออกถึงความรู้สึกของมนุษย์ , บ้างก็มุ่งมั่น เถรตรงเกินไป , บ้างก็ร้ายลึก ฉลาดเป็นกรดในทางที่เลวร้าย กระทั่งบางครั้งยังเป็นเรื่องยากที่จะแยกให้ออก ระหว่างการเป็นซาตาน กับฮีโร่ก็ตามที ซึ่งไม่ว่าจะทางไหนๆ ทุกๆ การแสดงออกก็ล้วนมีข้อดี ข้อเสียอยู่ดี . . .
+หากเลือกระบายความทุกข์ไปสู่คนรอบข้าง ก็อาจจะทำให้ตนไม่อยากมีคนเข้าใกล้ แม้กระทั่งคนใกล้ชิด , หากให้ชีวิตกับงานมากจนเกินไป อารมณ์ และสเน่หาของคนข้างใจก็อาจจะปันไปหาคนอื่นได้เช่นกัน . . .
+ที่สุดแล้วถึงแม้ Watchmen จะเก่งกล้า ทรงความสามารถมากขนาดไหน แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาก็ยังมีความเปราะบางในจิตใจแบบเดียวกับมนุษย์มนา ชาวประชาทั่วไป คือยังใช้ชีวิตด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสข้างใน และทนซ่อนกักสิ่งต่างๆ เอาไว้มากมาย เพราะด้วยความที่เป็น “ฮีโร่” . . ไม่แปลก ที่เมื่อพอทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่างมันระเบิดออกมา พวกเขาจะกลายเป็นเป้าหมายหัว และแปรเปลี่ยนกลายเป็นคนที่ยืนอยู่ในฝั่งตรงข้ามได้แทบจะทันที ไม่ต่างอะไรกับสถานภาพคนป่วยของสังคมแม้แต่น้อย
+และหากจะว่ากันจริงๆ ในบรรทัดฐานของความเป็นฮีโร่ พวกเขาก็ล้มเหลวในทุกสิ่งอย่างสิ้นเชิง หลักฐานสำคัญที่ช่วยยืนยันได้เป็นอย่างดีก็คือ พวกเขาสร้างสันติภาพให้กับโลกใบนี้ไม่ได้ ด้วยมิอาจหยุดยั้งสงครามล้างเผ่าพันธุ์ได้อย่างที่เห็น เพราะกับตัวตนของโลกแห่งความเป็นจริง พวกเขาก็มีข้างให้สังกัด มีฝั่งมีฝาให้เลือกเช่นกัน และเป็นหนึ่งในประชาชนผู้มีสิทธิ์เสรีในอเมริกาอย่างน่าภาคภูมิยิ่ง . . .
+และพอถึงบทสรุปในเรื่องราว ซึ่งแม้พวกเขาจะทำได้ แต่นั่นก็ต้องแลกมาด้วยการยอมเปลี่ยนสถานภาพของพวกเขา หรือใครบางคนไปเช่นกัน ด้วยแผนการอำมหิตสุดชั่วร้าย และการทำลายล้างที่เตรียมการมาเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นนัยซ่อนเร้น และเสียดสีธาตุแท้ สันดานมนุษย์ได้อย่างเจ็บแสบ . . กว่าจะรักกัน ก็ต่อเมื่อมีอันเป็นไป ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา กว่าจะรู้ค่าก็เมื่อสายประมาณนั้นแล . . .
+กว่าจะมาแทงฉึกอีกครั้งตบท้าย ด้วยภาวะเสียดสีในสันติอันเกินเหตุของมนุษย์ผู้เจริญอีกหาในภายหลัง ที่คลับคล้ายจะแนะเป็นนัยๆ ว่าสันติภาพแบบนี้ จะคงอยู่ได้นานจริงๆ อย่างนั้นล่ะหรือ!?
+มองในประเด็นของภาพความเป็นหนังแอ็คชั่น-ฮีโร่ . . Watchmen จัดอยู่ในกลุ่มหนังติดดินที่รู้จักตัวเองเป็นอย่างดี พร้อมกับชูประเด็นอันหนักอึ้งของตัวเองออกมาได้อย่างจริงจัง . . มองกันในแง่สไตล์การนำเสนอ ผู้กำกับแซ็ค สไนเดอร์สามารถสร้างโลกในจินตนการของอลัน มัวร์ขึ้นมาได้อย่างสมจริงสมจัง ทั้งพลัง และวิญญาณที่ไม่ได้เคลื่อนจากภาพแบนๆ ในหน้ากระดาษแม้แต่น้อย . .
+แม้บางอย่าง โดยเฉพาะงานในส่วนของเทคนิคภาพ ที่ออกมาโหดร้าย และดูจะรุนแรงมากเกินไปหน่อยก็ตามที แม้หากจะมองในความนัวร์ของหนัง ที่ต้องการสื่อให้เห็นถึงความเก็บกดในใจคน ผ่านสภาวะอารมณ์ และจิตใจที่บิดเบี้ยวก็ตาม . .
+แน่นอนว่า มาถึงตรงนี้ Watchmen ไม่ใช่หนังเพื่อความบันเทิง และดูเอามันแบบเดียวกับหนังซูเปอร์ฮีโร่เหนือมนุษย์ทั้งหลายทั่วไป แต่ผู้ชมจะสนุกได้ ต้องตามหนังให้เข้าใจ และตรงจุดอย่างที่มันต้องการจะสื่อ ทั้งในแง่การมองลึกเข้าไปในจิตใจของผู้คน , ธาตุแท้ กมลสันดานมนุษย์ ที่บางครั้งคนที่เหมือนจะดีที่สุด ก็อาจจะทำอะไรที่เลวร้ายที่สุด ผ่านการช่วยเหลือที่ดีที่สุด ซึ่งก็ต้องแลกมาด้วยการกระทำที่อำมหิตที่สุด . . เช่นเดียวกัน . . .
+พฤติกรรมของจอมบงการในมุมมืด ใน Watchmen ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ ชนิดเพื่อบรรลุเป้าหมาย (Gu) ทำได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะกล่าวเท็จ ขโมย หรือทำลายผู้แสนเป็นแสนๆ ข้ามไปจนหลักหลายล้านคน ก็ย่อมได้ . . หาก (มัน) คนเหล่านั้นมาขัดขวาง หรือสามารถขัดขวางแผนการของ (Gu) เรา!! . .
+หากมองบนบรรทัดฐาน โดยยกตนเทียบกับความดี หรือตัวแทนของความดีแล้วไซร้ . . คงจะอันตรายมิใช่น้อย เพราะหากเราคิดว่าเราคือความดี หรือกระทำดีแล้ว สิ่งต่ำช้าสามานย์แค่ไหน เราก็ทำได้ค่ะ หากคิดว่านั่นเป็นการทำดี . . และหากมองจากเหตุผลข้ออ้างสามัญถึงสันติภาพของมวลมนุษย์แล้ว กลับยิ่งหนักยิ่งกว่า เพราะความดีที่ว่าก็อาจจะเป็นมูลเหตุปัจจัยให้เรากระทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้เช่นกัน หากเชื่อ (ฝังหัว) ว่านั่นคือการะทำในนามของความดี!!
+และ Watchmen ก็ช่วยตอกย้ำให้เราเห็นประจักษ์ชัดเจนขึ้น ว่าการกระทำสิ่งชั่วร้ายในนามของความดีนั้น มันน่าสะพรึงกลัวแค่ไหน!?
+ให้ 3 ดาวครึ่งค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/mt_picture.ph...1660&Page=4 และ http://hilight.kapook.com/view/34055 ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ