+Drag Me to Hell มาพร้อมความบันเทิงเต็มตัว อาจจะไม่สยองถึงกับขนลุกขนพองขณะดู แต่หนังก็ยังดูสนุก และฮาได้ใจในระดับดำลังดี แต่ที่แน่ๆแซม ไรมี่ไม่มัวมาค่อยๆ บิวด์อารมณ์คนดูอีกต่อไปแล้ว หากแต่โชว์แนวทางที่ชัดเจน ด้วยการเน้นเล่าเรื่องแบบดูง่ายๆ และขึงขัง จริงจังไปตั้งแต่ฉากแรกยันฉากสุดท้าย ที่อะไรๆ มันก็ไม่สำคัญเท่ากับดูเพลิน และไม่มารีรอเสียเวลาอยู่ร่ำไป . . .
+อันที่จริง หนังเองก็ไม่ได้เน้นสไตล์ หรือว่าลูกเล่นอะไรมากมาย เพียงแต่ความแตกต่างก็คือหนังทำได้ “ถึง” ซึ่งแม้จะให้อารมณ์ของหนังเกรดบีกรุ่นไปตลอดทั้งเรื่อง ทว่าความ “แน่น” ของไรมี่เอง และวิธีกำกับนักแสดงให้ซีเรียสได้ในเรื่องราวที่ออกจะกึ่งๆ แนวล้อเลียนแบบนี้ . . โดยเฉพาะในฉากที่สองแคแร็คเตอร์นำหญิงของเรื่องพะบู๊กันอย่างสุดฤทธิ์ในรถ เท่ากับยกระดับของ Drag Me to Hell ไปอีกขั้นเลยก็ว่าได้ และแสดงให้เห็นถึงความ “สยองเคล้าความบันเทิง” ที่เป็นหัวใจของหนังได้อย่างชัดเจน . . ที่สำคัญก็คือ ทำให้ผู้ชมประจักษ์ชัดถึงมาตรฐานในตัวไรมี่ เพราะไม่ว่าจะเป็นหนังแนวไหน หรือใช้ทุนสร้างมาก-น้อยแค่ไหน แต่ก็รู้ได้เลยถึงระดับความเก่งกาจในการเป็นผู้กำกับชั้นแนวหน้าในวันนี้ของเจ้าตัว ในทุกๆ ผลงาน . . .
+Drag Me to Hell ถือเป็นการทำงานที่กลับไปสู่จุดเริ่มต้นในวงการภาพยนตร์ของแซม ไรมี่อีกครั้ง ไม่ว่าจะนึกกันที่ตัวหนัง หรือว่าการกระทำก็ตาม เมื่อในวันนี้ อดีตผู้กำกับหนังสยองขวัญขวัญทุนต่ำ เกรดบีอย่างเขา ได้กลายเป็นผู้กำกับชื่อดัง เจ้าของผลงานระดับบล็อกบัสเตอร์อย่างสไปเดอร์ แมน ทั้ง 3 ภาคไปเรียบร้อยแล้ว . . .
+ว่ากันที่ตัวหนัง เรื่องราวของ Drag Me to Hellไม่ได้วุ่นวาย ซับซ้อนอะไรมากมาย ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากพล็อตของหนังเกรดบีทั่วๆ ไปหากแต่เน้นไปยังสิ่งที่ตัวเองต้องการขายในทันที โดยไม่จำเป็นต้องสนใจวิธีการ หรือความสมเหตุสมผลของเรื่องราวแต่อย่างใด . . หากยังจำหนังอย่าง Grind House : Death Proof & Planet Terror ของเควนติน ทาแรนติโน่ และโรเบิร์ต รอดิเกวซ เมื่อ 2 ปีก่อนได้ อารมณ์ของ Drag Me to Hell ก็ไม่ได้ต่างกันมากมายนัก เพียงแต่ครั้งนี้ ไรมี่ไม่ได้สักทำออกมาให้เป็นหนังเกรดบี ทั้งรูปลักษณ์ และการนำเสนอ หากแต่ยังมุ่งไปยังส่วนของเนื้อหา เรื่องราว รวมไปจนถึงการคัดเลือกตัวนักแสดงด้วยเช่นกัน . . .
+เมื่อเขาเลือก 2 นักแสดง ที่ทั้งหน้าตา และท่าทาง เห็นได้ชัดว่าไม่น่าจะไปกันได้กับบท อย่าง “อลิสัน โลห์แมน” ในบทของพนักงานธนาคาร ที่หวังจะไต่เต้าขึ้นไปจนถึงระดับผู้ช่วยผู้จัดการ หรือแม้แต่ “จัสติน ลอง” ที่มารับบทเป็นจิตแพทย์ก็ตามที . . ซึ่งจะว่าไป ทั้งหน้าตา และท่าทางของทั้งคู่ ดูจะอ่อนโลกเกินกว่าจะอยู่ในสถานภาพเดียวกับตัวละครในเรื่อง และยากจะทำให้ผู้ชม “เชื่อ” ได้ในสิ่งที่พวกเขา “เป็น” อย่างเห็นได้ชัด . . .
+ในส่วนของเนื้อหา Drag Me to Hell ก็เล่นกันซื่อๆ แบบตรงไปตรงมา เมื่อ “คริสติน บราวน์” พนักงานสินเชื่อของธนาคารแห่งหนึ่ง ที่มุ่งจะขึ้นไปเสียบแทนเก้าอี้ผู้ช่วยผู้จัดการที่ว่างอยู่ โดยมีหนุ่มคู่แข่งเป็นชาวเอเชีย ท่าทีเห็นแก่ตัวคนหนึ่ง และยิ่งได้ยินคำดูถูกจากแม่ของแฟนหนุ่ม “เคลย์ ดัลตัน” ที่ว่าเธอเป็นสาวบ้านนอก ก็ยิ่งเป็นแรงกด และผลักดันให้เธอหมายจะคว้าตำแหน่งไร้เจ้าของนี้มาให้ได้ . . .
+และเมื่อ “มิสซิสกานุซ” ซึ่งค้างชำระเงินกู้ของธนาคาร จนต้องถูกยึดบ้านมาขอผ่อนผัน แน่นอนว่าเธอปฏิเสธหญิงชราอย่างไม่ใยดี และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นความซวยครั้งมโหราฬของคริสติน . . เมื่อมิสซิสกานุซร่ายคำสาปร้ายเข้าใส่เธอ และทำให้สาวเจ้าต้องเจอกับเรื่องราวประหลาดๆ ถูกวิญญาณอาฆาตตามหลอกหลอนตามมาในที่สุด . . และเมื่อไปให้หมอดูรายหนึ่งทำนายให้ ก็ได้รู้ว่าเธอกำลังถูกตามล่าโดยภูติลาเมีย ซึ่งคริสตินมีเวลาเพียงแค่ 3 วันเท่านั้น สำหรับการหาทางแก้ ก่อนที่ลาเมียจะแดร็ก เธอ ทู เฮลล์ ไปตลอดกาล!!
+ความหวัง หรือทางรอดเดียวของคริสติน อยู่ที่การพยายามวิงวอนให้มิสซิสกานุซถอนคำสาปให้ แต่ก็ไม่เป็นผล . . หากโชคเธอยังดี ที่หมอดูได้แนะนำให้คริสตินไปพบกับคนทรงที่เคยประมือกับภูตินรกลาเมียมาแล้ว เพื่อช่วยถอนคำสาปร้ายให้กับเธอ และนั่น ก็คือทางรอดทางสุดท้ายที่เธอมี!!
+ด้วยเรื่องราวจำกัดจำเขี่ยแบบน้อยนิด และไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ไรมี่ใช้เวลาเพียงไม่นาน ก็สามารถอัดคนดูได้อย่างต่อเนื่อง โดยใช้เทคโนโลยีรุ่นใหม่เข้ามาช่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เทคนิคการใช้เสียง” ที่ทำงานอย่างได้ผล ในการสร้างความตื่นเต้น ชวนระทึกได้อย่างยอดเยี่ยม พร้อมยังแทรกสถานการณ์ชวน “ช็อค” อัดใส่คนดูเป็นระยะๆ . . .
+แต่ในเวลาเดียวกัน ไรมี่ก็ไม่ได้ทิ้งลายเซ็นสำคัญของตัวเองในการทำหนังสยองขวัญไปด้วยแต่อย่างใด เมื่อความตระหนก ขึงขังที่ถูกนำเสนอออกมา เดินหน้าควบคู่ไปกับอารมณ์ขันที่วางเข้ามาได้อย่างกลมกลืน. . ไม่ใช่ส่วนเกินที่ดูโดด หรือเป็นตัวทำลายอรรถรสของหนังได้อย่างไม่น่าเชื่อ!? ชนิดทำให้ผู้ชมหลายคนกรีดร้อง แล้วตามมาด้วยเสียงหัวเราะแบบหวั่นๆ อยู่หลายหน . . โดยเฉพาะฉากไฮไลต์เด็ดในลานจอดรถ ที่แสดงให้เห็นได้เป็นอย่างดี ว่าไรมี่เจนจัดในการสร้างความระทึกไปพร้อมๆ กับอารมณ์ขันได้ดีขนาดไหน ซึ่งเป็นส่วนที่คอหนังที่ติดตามงานของไรมี่มา ตั้งแต่ Evil Dead ไตรภาค หรือว่า Darkman ต่างชอบอกชอบใจไปตามๆ กัน เลยทีเดียว . . .
+และเมื่อรวมเข้ากับเหตุการณ์ชวนแหวะทั้งหลาย ที่ใส่เข้ามาได้อย่างมีจังหวะจะโคน ก็ยิ่งทำให้หนังเต็มไปสถานการณ์ตรึงเครียด และดึงคนดูได้อยู่ตลอดเวลา แม้จุดอ่อนสำคัญ อย่างบทหนังจะมีรอยโหว่อยู่เพียบก็ตามที แต่หากมองที่เจตนา ก็คงต้องบอกว่าหยวนๆ พอจะมองข้ามกันไปได้ เพราะหลักใหญ่ใจความสำคัญของหนังเรื่องนี้ น่าจะอยู่ที่การหวนกลับมาทำหนังที่ล้อเล่นอย่างสนุกกับอารมณ์คนดูอีกครั้งของไรมี่
เป็นหลัก . . ซึ่งเท่าที่เห็น ไรมี่ก็ทำได้ชนิดที่ไม่เสียเครดิตที่สั่งสมมานาน . . แม้จะหันไปทำหนังฟอร์มใหญ่ ทุนสูงมาตลอดในช่วงหลังๆ แต่เอาเข้าจริงๆ ไรมี่ก็ไม่ได้เสียความเป็นตัวเอง ตลอดจนความชำนาญในการเล่นสนุกกับอารมณ์คนดูไปแต่อย่างใด . .
+ในส่วนของพล็อต แม้จะเล่นกันง่ายๆ ไม่วางอะไรสลับซับซ้อนอย่างที่บอกข้างต้น แต่บทหนังที่ไรมี่เขียนร่วมกับ “อิวาน ไรมี่” ก็ยังมีปมหักมุมเล็กๆ ซ่อนอยู่ โดยเฉพาะในแง่ของการสร้างตัวละครที่ชวนน่าเห็นใจ กับตัวละครที่ผู้ชมสาปส่ง อยากให้ตายไปไวๆ (ฮา) ที่ไปๆ มาๆ สิ่งที่เห็น ก็อาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นเสมอไปก็ตาม . . ซึ่งแม้จะไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไรมากมาย กับบทสรุปการกระทำของตัวละครบางตัวในตอนท้าย ที่ทำให้เรื่องเป็นเรื่องอย่างที่เห็น แต่ก็พอทำให้หนังมีเซอร์ไพร้ส์เล็กๆ หลังจากหลอกคนดูไปอย่างสะใจ ไปกับการกระทำของตัวละครมาแล้วก่อนหน้า . . แม้จะพอเดาๆ ได้ว่า น่าจะเป็นการสะใจเก้อซะมากกว่า ก็ตามที . . .
+ถือเป็นการกลับมาสู่แนวทางเดิมๆ ของไรมี่ที่ใช้ได้ เพราะนอกจากจะเป็นการรำลึกอดีต รื้อฟื้นฝีมือ ที่ทำให้เจ้าตัวเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายแล้ว ก็ยังทำให้คอหนังรุ่นใหม่ ได้รู้จักกับตัวตน และความเป็นมาของเขาในอดีตด้วย ซึ่งกับ Drag Me to Hell ไรมี่ก็ยังทำได้ดี ไม่มีมือตก แม้ในเรื่องความหลอนนั้น เอาเข้าจริงๆ ยังกินงานเก่า ระดับมาสเตอร์ พีซของเจ้าตัวอย่าง Evil Dead ไม่ลงก็ตามที
+ให้ 2 ดาวครึ่งค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://hilight.kapook.com/view/37089 ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 15 November 2009 - 06:01 PM.