0
XBox 360 กับการเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ และ Kinect
21 September 2010
XBox 360 Elite เปิดตัวตอนแรกด้วยราคากว่า 18,000 บาท โดยเป็นหนึ่งใน XBox รุ่นที่ออกมาปรับปรุงเรื่องปัญหาเครื่องพัง อันเนื่องมาจากความร้อน ภายในประกอบไปด้วย CPU Xenon 3 คอร์ 3.2 Ghz , GPU Xenos 500 Mhz จาก ATI , Ram 512 MB GDDR3 700 Mhz 10 MB eDRAM เป็นโครงสร้าพื้นฐาน
ไดรฟ์ DVD ของรุ่น Elite จะเป็น Lite-On DG-16D2S เป็นหลัก ซึ่งจะมีเสียงรบกวนพอสมควร ดังกว่า 54 เดซิเบล ซึ่งนี่ยังไม่รวมกับการทำงานของตัวเครื่องเองที่ดัง 50 เดซิเบลด้วย
โดย XBox 360 Elite นั้นมีบอร์ดออกมาหลายแบบ ทั้ง Zephyr , Falcon และ Jasper ตามลำดับ
สีของตัวเครื่องจะเป็นสีดำ แต่จะมีบางชุดที่จะเป็นสีขาว เครื่องจะมีน้ำหนัก 3.5 กิโลกรัม มีการใช้ไฟ 203 W ในบอร์ด Zephyr ก่อนจะลดลงเป็น 175 W ใน Falcon และ Jasper มีช่องต่อ USB 3 ช่อง
ภายในกล่องมาตรฐานจะมี จอยไร้สาย , สาย AV , หูฟังมีสาย และ สาย Ethernet
ถ้าเราย้อนกลับไปดูแล้ว XBox 360 อยู่มาแล้วนานกว่า 5 ปี ซึ่งนั่นเป็นอายุที่ Super Nintendo Entertainment System (SNES) อยู่ในวงการเกมได้ หรือแม้แต่ PlayStation 1 ก็อยู่ได้ 6 ปีก่อนจะมี Playstaion 2 ออกมา
ครั้งนี้ XBox 360 จึงต้องเปลี่ยนรูปลักษณ์ใหม่และสิ่งต่างๆ เพื่อให้เหมือนเป็นเครื่องเล่นเกมตัวใหม่ ถ้าหากจะต่ออายุให้ได้ยาวนานออกไป เราจะมาดูกันว่า มีอะไรกันบ้าง และดีพอจะอยู่ได้ยาวนานหรือไม่
สิ่งสำคัญพื้นฐานของเครื่องอันทรงพลังของ XBox 360 Elite ยังคงอยู่ในเครื่อง XBox 360 S ตัวใหม่ แต่จะมีการรวม CPU และ GPU ภายในชื่อ Valhalla ซึ่งทำให้เครื่องเงียบลง 5 เดซิเบลจากรุ่นเดิม
ไดร์ฟ DVD ยังคงยึดของ Lite-On แต่จะเป็นรุ่น Lite-On DG-16D4S ที่ทันสมัยกว่ารุ่นเดิม ซึงจะมีเสียงดังลดลง 3 เดซิเบล โดยรวมแล้วเครื่องจึงทำงานได้เงียบมากเลยทีเดียว
เครื่องในตอนแรกจะเป็นสีดำ เครื่องมีน้ำหนักลดลงกว่า 600 กรัมของรุ่นเดิม มีการใช้หม้อแปลงแบบใหม่ใช้ไฟเพียง 135 W เท่านั้น และคราวนี้เน้นการใช้ USB มากขึ้นโดยจะมีมาให้ 5 ช่องเลยทีเดียว นอกจากนี้ช่องต่อเสียง 5.1 Optical ก็จะมีแยกมาให้แล้วด้วย และเครื่องนี้ก็พร้อมแล้วสำหรับ Kinect กับช่องต่อ AUX โดยเฉพาะเลย
อุปกรณ์ที่แถมมาจะคล้ายๆกับรุ่นเดิม แต่อาจจะไม่มีสาย Ethernet เพราะว่า คราวนี้ในตัวเครื่องจะมี Wifi ในตัวมาเป็นมาตรฐาน ส่งสัญญาณไร้สายได้เลยทันที
โดยรวมแล้ว ก็ต้องบอกเลยว่า XBox 360 S ตัวใหม่นั้นปรับปรุงในแทบจะทุกส่วนของ XBox 360 รุ่นเดิมเลยทีเดียว และก็ยังเปิดตัวด้วยราคาเพียง 12,000 กว่าบาทเท่านั้น
Kinect สิ่งที่จะมาเป็นตัวจักรสำคัญของ XBox 360 S ที่จะขาดไปไม่ได้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะคาดเดาได้ยากว่าจะมีเกมรูปแบบไหนออกมาบ้าง
โดยคาดว่า ในช่วงแรกของการทำเกมจะมีเกมหลายๆแบบทดลองออกมาให้ได้เล่นกันเพื่อหาจุดที่เหมาะสมและพัฒนาต่อไป เพราะระบบจับความเคลื่อนไหวแบบใหม่นี้ ยังสามารถนำเสนอเกมได้หลากหลายมากมาย ซึ่งก็ต้องดูกันว่า ผู้พัฒนาเกมจะงัดประสิทธิภาพออกมาได้ขนาดไหนกัน และแน่นอนในอนาคตเราคงจะได้เห็นเกมของ Kinect ที่ดูดีมากขึ้นเรื่อยๆแน่นอน ซึ่งนี่ก็เป็นหนึ่งในความท้าทายของผู้พัฒนาเช่นกัน (ถ้ามันพัฒนายากมากๆก็ต้องระวังจะเป็นแบบ Playstation 3 ที่กว่าจะงัดพลังของเครื่องออกมาได้ก็ต้องเหงื่อแตกกันอยู่นานเลย)
เจ้า Kinect นั้นต้องการเนื้อที่ว่าง 175 MB ของเครื่อง XBox 360 เพื่อลงข้อมูล และต้องใช้ USB 1 ช่องของเครื่องรุ่นเดิมด้วย ส่วน XBox 360 S นั้นไม่ต้องเปลืองช่อง USB เพราะต่อกับช่อง AUX ช่องใหม่ได้เลย
Kinect นั้นต้องการพื้นที่เพื่อมุมมองของการเล่นพอสมควร และไม่ควรเล่นห่างนอกระยะห่าง 1.2-3.5 เมตร ก็เรียกว่า ต้องวางระยะห่างกันให้ดีเลยทีเดียว
ระบบของ Kinect นั้นจะส่งภาพสแกนร่างกายเราที่ 30 แฟรมต่อวินาที มี 16-bit IR depth และ 32-Bit Colour มีระบบเสียง 16-bit
การตรวจจับร่างการแต่ละคนจะจับได้กว่า 20 จุดเชื่อมต่อของโครงกระดูก และสามารถจดจับได้ 6 คนพร้อมกัน และนำไปใช้กับตัวการ์ตูน Avatars ได้ทันที นอกจากนี้ยังจับเสียงพูดได้หลายภาษาอีกด้วยและยังมีระบบตัดเสียงรบกวนภายนอกด้วย และสำหรับการเคลื่อนไหวนั้น กล้องยังสามารถหันตามได้ในระดับหนึ่งอีกด้วย
แต่แม้จะดูดีแต่ Kinect ก็ยังมีจุดด้อยเล็กๆอยู้บ้าง
1. มีการทำงานที่ไม่ต่อเนื่อง เนื่องด้วย Kinect จะมีความหน่วงระหว่างการเคลื่อนไหวกับหน้าจอที่แสดงที่ 150 ms นั่นทำให้ช้าไปสำหรับเกมต่อสู้แบบ Street Fighter แต่ทว่าแค่นี้ก็เพียงพอในการจับความเคลื่อนไหวของศีรษะในเกม Forza แล้วล่ะ
2. ต้องการพื้นที่ในการเล่น แน่นอน Kinect ต้องการมุมมองที่พอเพียงในการจับความเคลื่อนไหว ซึ่งนั้นก็ต้องดูว่า ประเทศที่มักพักอาศัยในห้องที่เล็กๆอย่าง ญี่ปุ่น จะมีปัญหาในตรงนี้หรือเปล่า แต่ดูแล้วพื้นก็ไม่ได้ต้องการมากนักตรงนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหามากมายนัก
3. ไม่สามารถนั่งเล่นได้ ใช่แล้ว เกมส่วนใหญ่อาจจะเน้นการยืน แต่ทว่า Kinect ก็ยังสามารถจับความเคลื่อนไหวในขณะนั่งได้เช่นกันถ้าผู้พัฒนาจะทำออกมา ซึ่งใครอยากนั่งเล่นก็ต้องลุ้นล่ะกัน
4. ราคาแพงมาก ซึ่งอาจจะต้องเตรียมเงินไปกว่า 4,000 บาท ก็นับว่า เป็นราคาที่ดูสูงมาก แต่นั่นเมื่อลองมาเทียบกับ Playstation Move แล้วก็ไม่ได้แพงกว่ามาก หรือประหยัดกว่าการไปซื้อเครื่องเล่นเกม Wii สำหรับคนที่ยังไม่มีอีกด้วย
5. ไม่มีเกมที่เข้มข้นให้เล่น เมื่อดูไปแล้วเกมที่ออกมาดูจะคล้ายกับเครื่อง Wii ตอนเปิดตัว เช่น เกมกีฬาเล่นง่ายๆ เกมออกกำลังกาย เกมเต้น ซึ่งเหมาะกับผู้เล่นสนุกสบายๆง่ายๆเท่านั้น ทำให้ผู้เล่นเกมที่ต้องการเกมเข้มข้นอาจจะต้องรอสักหน่อย แต่ทว่ารายชื่อเกมอย่าง Forza , Child Of Eden และ Steel Battalion: Heavy Armor ก็น่าจะทำให้คอเกมพอใจได้เช่นกัน
เราจะลองมาดูบทสัมภาษณ์ของ เฟร็ดเดอริก บลาส จาก Ubisoft เกี่ยวกับข้อจำกัดของ Kinect และการทำเกมที่เข้มข้นกันดูบ้าง ว่าจะเป็นอย่างไร
คุณมาเริ่มต้นทำเกมกับ Kinect ได้เมื่อไหร่ครับ
เราทำงานมากับเทคโนโลยีนี้มา 1 ปีครึ่งได้แล้วล่ะครับ ซึ่งนั่นก็เป็นช่วงก่อนที่ Microsoft จะได้ประกาศออกมา ซึ่งตอนนั้นผมได้กล้องสำหรับเริ่มต้นมาแล้ว (ซึ่งเป็นกล้อง 3DV จากอิสราเอล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในทีมพัฒนาระบบ Kinect) ท่านประธาน เยอร์ กิลเลอมอท ของเรานั้นสนใจอย่างมากกับการเปิดตลาดด้านนี้ ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมได้เป็นส่วนหนึ่งในการทำงานด้านเทคนิคกับ Ubisoft ในด้านนี้ และพยายามทำงานกับเทคโนโลยีนี้อย่างมาก และในที่สุด Microsoft ก็ได้เปิดตัวเทคโนโลยีนี้ออกมา นั่นเป็นอะไรที่สุดยอดมาก พวกเขาเพิ่มในส่วนของการตรวจจับโครงกระดูกของร่างกายเข้าไปด้วย นั่นทำให้เราได้เครื่องมือที่ดีมาในการทำเกม Your Shape: Fitness Evolved ของเราครับ
แล้ว Microsoft ได้ให้อุปกรณ์ชุดพิเศษมาช่วยในการทำงานกับไหมครับ
ครับ Kinect จะมี SDK (ชุดในการพัฒนา) นั่นจะเป็นระบบการตรวจจับโครงกระดูกของร่างกายและทุกๆส่วนที่เกี่ยวข้อง Microsoft ได้ให้ระบบการทำเกมที่สมบูรณ์ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของ DirectX ซึ่งดูๆไปแล้วทุกอย่างดูเรียบง่าย ใช้งานได้ง่าย พวกเขาให้การสนับสนุนอย่างดีแล้วพวกเราก็ร่วมกันพัฒนาให้มันสำเร็จไปด้วยกัน การที่ Microsoft มีระบบตรวจจับโครงกระดูกของร่างกาย นั่นเป็นวิธีที่เราใช้ได้อย่างดีกับเกมฟิตเนต เลยล่ะครับ และด้วยความร่วมมือจาก Microsoft ทำให้เราสามารถลงไปได้ลึกในรายละเอียดต่างๆ นั่นจึงเป็นจุดเด่นของเราเมื่อเปรียบเทียบกับเกมอื่นๆ
แล้ว Kinect ทำให้คุณต้องงานหนักเพิ่มมากขึ้นกับการทำงานบน CPU ของเครื่อง XBox 360 หรือเปล่าครับ
ไม่เท่าไหร่หรอกครับ ไม่ได้ทำให้เราต้องใช้เงินในการพัฒนาเกมมากขึ้นเท่าไหร่เลย เพราะในความเป็นจริงแล้ว Microsoft ทำเทคโนโลยีนี้ออกมาได้ดีมากๆเลยครับ
แต่เราแอบได้ยินมาว่าเจ้า Kinect นี้ต้องใช้ความสามารถพอสมควรจากหลายๆคอร์ของเครื่องเลยนะครับ
ใช่แล้วล่ะครับ แต่นั่นก็ไม่จริงทั้งหมดหรอกครับ ผมไม่ทราบข้อมูลมากนัก แต่ยังไงมันน่าจะใช้ไปไม่เกิน 1 เปอร์เซ็นต์(ของประสิทธิภาพของ CPU ทั้งหมด) หรือประมาณนั้น ซึ่งมันดูเยี่ยมมากใช่ไหมล่ะครับ เราสามารถที่จะประยุกต์ Kinect กับเกมต่างๆได้เลยแล้วนั่นก็ยังเป็นเกมที่มีคุณภาพเดียวกันกับเกมปกติอีกด้วย แต่ว่านะครับ ถ้าคุณได้ทำเกมที่ใช้ทุกสิ่งทุกอย่างของทุกคอร์ของเครื่องไปแล้ว นั่นก็ทำให้คุณก็ไม่สามารถใส่อะไรเข้าไปเพิ่มอีกได้เหมือนกันครับ ซึ่งนั่นก็รวมถึง Kinect ด้วย แต่ถามว่า นี่เป็นความคิดที่ดีไหม ใช่แล้วในเมื่อคุณสามารถทำมันได้ ก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ
คุณคิดอย่างไรกับการใช้ Kinect ในการเป็นเครื่องช่วยเหลือในการเล่นเกมกับจอยปกติของ XBox 360
ดีเลยล่ะครับ ผมว่านะ พวกเราคิดอย่างมากกับเรื่องนี้ ผมคิดว่า นี่เป็นอะไรที่เยี่ยมมากเลย ในเมื่อมันตอบสนองได้รวดเร็วกว่าจอย และมีหลายๆสิ่งที่คุณไม่สามารถกระทำได้กับจอยปกติ ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ Kinect ถูกออกแบบมาเลย ลองคิดถึงเกม Rainbow Six เมื่อคุณสามารถทำสัญญาณมือได้ หรือกิริยาต่างๆได้ ดูดีใช่ไหมครับ ทำให้เราเข้าถึงได้ดี แล้วเราก็พร้อมแล้ว ถ้าคอเกมพร้อมแล้วสำหรับสิ่งนี้
แล้ว Kinect จะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคตครับ
ผมคิดว่า ทุกสิ่งจะเกี่ยวกับการที่คุณไม่ต้องมีจอยอะไรอยู่ในมือเลย ซึ่ง Wii เป็นขั้นแรกในเรื่องนี้ แล้วมีจอยที่คล้ายรีโมท แต่ผมคิดว่า ในอนาคตมันจะคงจะเป็นอะไรที่ไม่ต้องมีอะไรอยู่ในมือของเราเลยสำหรับใช้งานภายในห้องนั่งเล่น ในการแถลงของ Microsoft ได้มีการโชว์เราให้เห็นว่า การควบคุมภาพยนตร์ เพลง และสิ่งต่างๆนั้นเป็นอย่างไร ซึ่งนั่นทำให้ผมเห็นแนวทางข้างหน้ามากมาย ฟิตเนต , การเต้น , ความบันเทิง , การติดต่อสื่อสาร ทั้งหมดนี้โดยไม่ต้องมีอะไรอยู่ในมือเลย
สวัสดีครับ
