+กับ Cloverfield แม้ว่าดูแล้วจะทำให้นึกถึง Blair Witch Project อยู่บ้าง ในแง่ของคอนเซ็ปท์ต่างๆและการโปรโมทตัวเองของหนัง แต่เมื่อพูดถึงในแง่ของเนื้อหนังแล้ว ผลงานของผู้กำกับ "แม็ทท์ รีฟส์" ที่ทำงานร่วมกับ "เจเจ
อบรามส์" และได้ "ดรูว์ ก็อดดาร์ด" มาเขียนบทให้ ถือว่าทำออกมาได้ดีกว่ามากในแง่ของการเล่าเรื่อง รวมไปจนถึงรูปแบบในการนำเสนอก็ยังดูลงตัว และเนียนกว่าอย่างเห็นได้ชัด . . อย่างน้อยที่สุด Cloverfield ก็ดูสนุกและมีความน่าติดตามในแบบของหนังแอ็คชั่นสัตว์ประหลาดถล่มเมืองทั่วๆ ไป แต่ดูแปลกตากว่าด้วยการเล่าเรื่องผ่านมุมมองของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์จริงๆ . .
+นี่คือเรื่องราวของกลุ่มเพื่อนชาวนิวยอร์ค 5 คน ที่ประกอบไปด้วย เจสัน , ลิลี่ , มาเลนาร์ , ฮัด , เบ็ธ และบ็อบ ที่กำลังสนุกอยู่ในงานฉลองเลี้ยงส่งบ็อบไปทำงานที่ญี่ปุ่น โดยมีฮัดทำหน้าที่บันทึกภาพงานเลี้ยง และคำสัมภาษณ์ของบรรดาแขกๆทั้งหลายในงานนี้ . .
+ด้วยความไม่เข้าใจกัน ทำให้บ็อบทะเลาะกับเบ็ธ จนรุนแรงจนกระทั่งฝ่ายหลังขอตัวกลับออกจากงาน . . แต่พอเบ็ธกับหนุ่มที่ควงมาด้วย คล้อยหลังกลับไปได้ไม่นาน ก็เกิดเหตุระเบิดขึ้น . . ทีแรกทุกคนคิดว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ไม่นานทั้งหมดก็รู้ว่านี่คือฝีมือของสัตว์ประหลาด ที่มาถล่มกรุงนิวยอร์ค . . ทุกคนพยายามหาทางหนี แต่แล้วเบ็ธกลับโทรมาหาบ็อบ พร้อมน้ำเสียงที่แสดงถึงอาการเจ็บปวด . .
+แทนที่จะหาทางหนี บ็อบกลับหาทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปช่วยเบ็ธ ในช่วงเวลาที่ทางกองทัพส่งทหารมาช่วยควบคุมเหตุการณ์ และนิวยอร์คเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง . . โดยที่มีฮัดตามมาด้วย และไม่พลาดที่จะบันทึกภาพเหตุการณ์ทั้งหมดเอาไว้ด้วยกล้องที่อยู่ในมือ . .
+ด้วยเรื่องราวและวิธีการนำเสนอ Cloverfield ก็คืองานที่เล่าเรื่องผ่านสายตาของผู้ประสบเหตุแบบเพียวๆ และยังนำเสนอผ่านทางกล้องของหนึ่งในผู้ประสบเหตุครั้งนี้ หนังอาจจะไม่มีเบื้องลึกอะไรมากมายนักในส่วนของความเป็นมา จุดเริ่มต้นของเหตุการณ์ หรือแม้กระทั่งตัวสัตว์ประหลาดเอง ที่บางคนอาจจะมองว่าหนังขาดแบ็คกราวนด์ รายละเอียด หรือการปูพื้นอะไรต่างๆนานา ทั้งทีมองกันจริงๆแล้ว Cloverfield ไม่ใช่หนังในแบบทั่วๆไป แต่นี่คือหนังที่เลียนแบบเหตุการณ์จริง และนำเสนอผ่านมุมมอง และสายตาของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์นั้น . .
+ก็เหมือนกับเวลาที่เรากำลังนั่งดูคลิปอะไรสักอย่าง เราคงไม่ต้องมานั่งถามกันว่า คู่รักคู่นั้นรักกันมากไหม? ทั้งคู่ทำงานทำการอะไร? แน่นอนว่าภาพที่ปรา
กฎบนจอนั้น อาจจะไม่ชัดเจนนัก อาจจะดูวูบๆวาบๆไปตามการเหวี่ยงมือของผู้ถ่าย สั่นไปตามจังหวะการเดินของผู้ที่ถือ แสงอาจจะมืดไปบ้าง หรือไม่ก็จ้าเกินไป . . และไม่ผิด หากจะมองว่า Cloverfield ก็คือคลิปวิดีโอขนาดยักษ์ที่เอามาฉายขึ้นจอใหญ่ . .
+เทคนิคการนำเสนอแบบนี้ บางคนอาจจะมองว่าเป็นวิธีการใหม่ แต่ครั้งหนึ่ง หนังเล็กๆอย่าง Blair Witch Project ก็เคยนำมาใช้ และได้ผลจนประสบความสำเร็จทางด้านรายรับมาแล้ว แต่คงไม่ใช่เพียงเพราะตัวหนังเพียงอย่างเดียวที่ทำงาน หากต้องอาศัยการโปรโมทที่พิเศษและแปลกไปกว่าการทำโปร
โมทหนังแอ็คชั่น หรือหนังที่นำเสนอออกมาแบบทั่วๆไป . .
+และ Blair Witch Project ก็นำสื่อใหม่ (ในตอนนั้น) อย่างอินเตอร์เน็ทมาใช้อย่างได้ผล ด้วยการสร้างเรื่องราวของกลุ่มหนุ่มสาวที่หายเข้าไปในป่า ที่เชื่อกันว่ามีแม่มดอาศัยอยู่มาเป็นประเด็น แล้วค่อยๆหย่อนเรื่องลงไปทีละนิดๆ เช่น พบรถของพวกเขา ตามมาด้วยพบกระเป๋า และในท้ายที่สุด พบวิดีโอที่พวกเขาถ่ายเอาไว้ ซึ่งก็จะได้ชมกันเป็นหนัง Blair Witch Project ในเวลาต่อมา . .
+ขณะที่ Blair Witch Project คือผลตอบรับของการใช้อินเตอร์ที่คุ้มค่าและใช้เป็น . . สำหรับ Cloverfield เองก็น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายด้วยเหมือนกัน ด้วยการอัพโหลดคลิปต่างๆไปบนอินเตอร์เน็ท เช่นในเว็ปไซต์ยูทู้บ รวมไปจนถึงบันทึกส่วนตัวของตัวละครในเรื่องตามบล็อกสเปซต่างๆ แล้วนำมาใช้ในการ
โปรโมทภาพยนตร์ . .
+และมองกันดีดีกับเนื้อหาของ Cloverfield ย่อมยากและหินกว่า Blair Witch Project ไปอีกขั้น เพราะหนังเล่นกับเรื่องราวที่ใหญ่กว่า และมีความไม่น่าเชื่อถือของคนส่วนใหญ่มากกว่า เพราะฉะนั้นหากจะหันมาเล่นมุขเดิมๆ ว่านี่คือเรื่องจริงหรือเปล่า? ก็คงจะไม่ได้ เพราะใครๆก็ย่อมรู้กันดีอยู่ว่านี่คือเรื่องแต่ง . .
+แต่เจเจ อบรามส์ และ แม็ทท์ รีฟส์ ก็หาทางออกให้ตัวเองได้สำเร็จด้วยการตั้งปริศนากับคนดูว่า ใคร? อะไร? ตัวอะไร? และหน้าตายังไง? ที่มาบุกนิวยอร์คจนราบเป็นหน้ากลองอย่างที่เห็น โดยค่อยๆหยอดคลิปต่างๆ ทั้งในรูปแบบของหนังตัวอย่าง และคลิปวิดีโอร่วมต่างๆนานาออกมา เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย และกระตุ้นความอยากรู้ให้กับคนดูมากที่สุด ซึ่งจะได้ผลหรือไม่นั้น รายได้ของหนังก็เป็นตัวบอกได้เป็นอย่างดีแล้ว . .
+และกับตัวเรื่องราวทั้งหมด ถือว่า Cloverfield ทำได้ดีในระดับหนึ่ง หนังมีเรื่องมีราว มีความน่าติดตาม มีจุดไคลแม็กซ์ และความน่าตื่นเต้นชวนลุ้นอยู่ในตัว และยังสามารถเล่าเรื่องด้วยภาพและเหตุการณ์ได้ดีมากกว่าจะใช้แค่คำพูด หรือการแสดงออกของนักแสดงเพียงอย่างเดียว . .
+Cloverfield ทำได้สำเร็จ และทำได้ดี หากสามารถละความคุ้นเคย และชินตากับหนังในรูปแบบเดิมๆที่เคยดูๆกันมา และสอบผ่านกับการทำให้ผู้ชมทนดูภาพที่วูบๆ ไหวๆ ไปทั้งเรื่องได้ . . หากไม่ปิดใจกันจนเกินไป จะพบว่านี่คือหนังที่เล่าเรื่องในอีกรูปแบบสไตล์หนึ่ง ซึ่งทำได้ไม่ง่าย สำหรับการที่จะทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมไปได้ หากแต่ Cloverfield ทำได้ ถึงแม้จะไม่มาก แต่อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง . . ซึ่งตรงนี้คงต้องยกความชอบให้กับบทหนังของ
ก็อด ดาร์ด ที่สามารถสานต่อเหตุการณ์ทุกอย่างให้ร้อยติดออกมาเป็นเรื่องเป็นราวได้ . .
+แต่ Cloverfield เองก็ใช่ว่าจะไม่มีจุดพลาด อย่างน้อยหนังก็ขาดความน่าเชื่อถือในแง่ของการพยายามเอาตัวรอดของตัวละคร รวมไปจนถึงความ "อึด" ของพวกเขา ที่ออกจะดูเกินจริงไปสักหน่อย เพราะกับความพยายามที่จะทำให้หนังเรื่องนี้ดูเหมือนเป็นเรื่อง "จริง" เพราะฉะนั้นความน่าเชื่อถือ ความสมจริงสมจังในแบบของคนจริงๆ มันก็น่าจะต้องมี . .
+ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเบ็ธ กับบ็อบ ที่มีให้กันอย่างมากมาย และมีน้ำหนักมากพอจนทำให้อีกฝ่ายต้องตามฝ่าดงสัตว์ประหลาดเข้าไปช่วยให้ได้นั้น หนังเหมือนจะไม่ได้ปูปูมหลังอะไรไว้ แต่หากดูดีดี จะเห็นว่า "มี" และค่อนข้าง "ชัดเจน" รวมถึงมีน้ำหนักมากพอ แล้วกับการที่หนังสามารถขมวดจุดจบของสถานการณ์ 2 อย่าง มาไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัวพอดิบพอดี ก็ยิ่งทำให้หนังชัดเจนมากขึ้นไปอีกในระดับของส่วนความโรแมนติค ซึ่งก็ยิ่งช่วยให้หนังมีมิติที่ลึกขึ้นในอีกขั้นหนึ่ง . .
+หากถามถึงสัตว์ประหลาด เรื่องราวที่มาที่ไป และปูมหลังของมัน . . ก็อย่างที่บอกไว้ข้างต้น ว่าหนังเป็นมุมมองของผู้ประสบเหตุ . . เพราะฉะนั้นหากอยากรู้เรื่องราวในส่วนนั้น ก็คงต้องรอหนังที่สร้างจากมุมมองของสัตว์ประหลาดดู . .
+หลายๆ คนอาจจะบอกว่าหนังไม่เท่าไหร่ แต่หากว่ากันจริงๆแล้ว Cloverfield อาจไม่ได้เป็นแค่หนัง หากยังเป็นมากกว่านั้น นี่คือการใช้ "สื่อและการตลาด" ที่ชาญฉลาดมานำ เพื่อช่วยในการขายภาพยนตร์ที่มีสไตล์การเล่าเรื่องที่ต่างออกไปจากภาพยนตร์ใน
ท้องตลาดทั่วไป แล้วก็ไม่ผิด ถ้าจะมองว่า Cloverfield ก็คือการขาย "ไอเดีย" ที่สร้างสรรค์นั่นเอง . .
+ถือเป็นหนังสัตว์แนวสัตว์ประหลาดถล่มเมือง ที่ดูเก๋ , แปลกและแหวกแนวที่สุด ตั้งแต่เคยมีมา . . ถึงจะดูเวียนหัวไปบ้างกับวิธีนำเสนอ แต่ด้วยความที่หนังมีดีอยู่ในตัว มันก็น่าคุ้มค่าที่จะลองหยิบมาดูใช่มั๊ยคะ . . โดยเฉพาะกับบรรดาแฟนหนังสัตว์ประหลาดด้วยแล้ว Cloverfield คือหนังที่ต้องดู และพลาดไม่ได้ทุกประการเลยค่ะ . .
+ให้ 3 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1464.html ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 07 January 2010 - 08:53 AM.