0
เครื่องชาร์ทของท่าน 100% นี่มันเท่าไหร่ ??
ช่วงหลังมานี้ ได้มีโอกาสหาข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องชาร์ทแบบ Multi Charger เพราะหลายๆท่าน มีอุปกรณ์ทั้ง Smart Phone , Power bank หรือ tablet กัน มากกว่า 1 เครื่องในการพกพาและใช้งานกันแล้ว โดยมาก ก็ 2 - 4 เครื่องต่อคน หากจะต้องพกพา Wall Charge หลายๆ อัน ก็ค่อนข้างไม่สะดวก Multi Charger จึงค่อนข้างตอบโจทย์ได้ ในเรื่องของความสะดวก เพราะพอเป็น Multi Charger ก็ใช้ปลั๊กไฟแค่ช่องเดียวในการใช้งาน ไม่ต้องไปแย่งช่องเสียบจากใคร แต่ก็มีข้อเสียนิดตรงที่ขนาดของอุปกรณ์โดยส่วนมาก จะใหญ่กว่าที่ชาร์ทปกติทั่วๆไป แบบ 1 ช่องชาร์ทพอสมควร ตามจำนวนของช่องชาร์ทที่เพิ่มขึ้น บางรุ่นต้องมี Adapter ต่างหากอีกตัว บางรุ่นก็เสียบไฟแล้วใช้ได้เลย
แล้วลูกค้า หรือคนรู้จักหลายๆท่าน เวลาจะใช้งานมักจะมีคำถามเสมอว่า ชาร์ทได้เต็ม 100% มั๊ย เลยตอบไปว่า เห็นใครใช้ มันก็ชาร์ทได้เต็ม 100% นะครับ 555 เร็วช้า ต่างกันไป ปัจจัยมันหลายอย่าง ทั้งสายชาร์ท ทั้งคุณภาพของ Battery ที่ใช้งาน อุณหภูมิ ความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ ฯลฯ .. รวมไปถึงดวง เลยอยากทดลองดูว่า เครื่องชาร์ทที่มี่อยู่ประสิทธิภาพ หรือความสามารถในการจ่ายไฟได้สูงสุดเท่าไหร่กันแน่
แต่ก่อนที่เราจะรู้จักเครื่องชาร์ท .. เรามาทำความรู้จัก Battery กันนิดหน่อยก่อนนะครับ
ฺBattery ใน Smart Phone , Power bank หรือ tablet ส่วนใหญ่ในปัจจุบันนั้น จะเป็นแบบ Li-ion และ Li-Polymer ขอเรียกรวมๆว่า Lithium-based แล้วกันนะครับ ทั้งสองแบบมีลักษณะการทำงานในลักษณะ " นับรอบการชาร์ท หรือที่เรียกกันว่า Cycle " โดยปกติ Battery แบบ Li-ion และ Li-Polymer เมื่อมีการใช้งานไปสักระยะ จะทำให้มีประสิทธิภาพลดลงเรื่อยๆ ทุกๆรอบการชาร์ท รวมถึงการเสื่อมสภาพตามปกติจากอายุของแบตเตอรี่ด้วย
แล้วเราจะรู้ได้ยังไง ว่า Battery ของเรา ใช้งานไปกี่ Cycle แล้ว
ในปัจจุบันมี software และ application หลายๆตัวในส่วนของ android ที่แสดงข้อมูลตรงนี้ได้ ที่นิยมใช้กันมาก เช่น Battery Doctor หรือ DU Battery Saver แต่ในส่วนของ iPhone บน Apple Store ไม่มีแอปไหนที่แจ้งเราได้ จะมีก็แต่ Battery Detective จาก Cydia Store สำหรับเครื่อง Jailbreak หรือหากมี app ใดๆที่ทำได้ก็สามารถแจ้งเข้ามาได้นะครับ ผมจะได้ทำการ update ข้อมูล
Samrt Phone หรือ อุปกรณ์ของเรา มันมีอายุการใช้งานกี่ Cycle กันเนี่ย
เมื่อมันมีรอบการใช้งาน และมีการเสื่อม หลายๆท่านคงอยากจะรู้ขีดจำกัดทางสายเลือดของ Battery ตัวเอง กันแน่นอน ซึ่งจากข้อมูลในเว็บแอปเปิลแจ้งไว้ว่า iPhone, iPod สามารถชาร์จได้ถึง 400 Cycle ก่อนประสิทธิภาพของแบตจะลดลงเหลือ 80% แต่ในส่วนของ android ด้วยความที่หลากหลาย spec มาก ก็ต้องดูกันไปตามคุณภาพของ Battery แต่โดยส่วนมากจะอยู่ที่ประมาณ 300 - 500 Cycle ( ถ้าตีเป็นระยะเวลา ตามการใช้งานปกติ น่าจะอยู่ราวๆ ปีครึ่ง ถึง 2 ปี ก็จะเริ่มเสื่อมประสิทธิภาพ ) สำหรับ Battery แบบ Lithium-based
สรุปข้อมูลในส่วนของ apple
- 400 Cycle คือค่ามาตรฐานของ iPod
- 500 Cycle คือค่ามาตรฐานของ iPhone
- 1,000 Cycle คือค่ามาตรฐานของ iPad, MacBook
- ถ้าใช้เกิน 400 Cycle แล้วประสิทธิภาพแบตจะลดลงเหลือ 80% ถ้าใช้ไปต่ออีก 800 Cycle จะลดลงเหลือ 64%
ผลการทดสอบแบตเตอรี่หลายๆก้อนที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อมีการใช้งานไปเรื่อยๆความจุจะค่อยๆน้อยลงตาม Cycle ที่ใช้งานไป
คร่าวๆ เรื่องของ Battery ประมาณนี้นะครับ :-D
มาดูการทดสอบกันดีกว่า ว่าเครื่องชาร์ทของเรา ทำงานได้ดีแค่ใหนกัน .. 100% ของมัน คือเท่าไหร่ ??
จะทดสอบโดยการวัดเปรียบเทียบกับ Spec ของ เครื่องชาร์ท , วัดด้วยการเปรียบเทียบกับ iPad Air โดยใช้อุปกรณ์ง่ายๆ ที่ช่วงนี้นิยมกัน มาดูอุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบกันนะครับ
1. USB Meter เป็นตัววัด แรงดัน (V) กระแส (I) กำลังงานไฟฟ้า (P) และ ความจุพลังงานไฟฟ้า (mAh)
2. USB Load Resistance อุปกรณ์ทดสอบเครื่อองชาร์ท โดยตัวมันจะทำหน้าทีเป็นโหลด เสมือนเป็น Battery ก้อนนึง
ทำไมต้องใช้ USB Load Resistance
อย่างที่ทราบกันว่า หนึ่งในปัจจัย ที่จะทำให้ Battery ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็คือความต้านทานภายใน ของตัว Battery นั่นเอง ซึ่ง Battery แต่ละก้อน แต่ละ Lot และแต่ละอายุการใช้งาน ก็จะมีความต้านทานที่ต่างกัน ไม่มากก็นน้อย แม้จะเป็น Battery ที่ผลิตมาพร้อมๆกันก็ตาม
แต่ตัว USB Load Resistance จะมีความต้านทานคงที่ เพราะเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ง่ายๆโดยเอาตัวต้านทานที่มีความต้านทานคงที่มาต่อใช้งาน เพื่อการทดสอบ โดยใช้หลักการง่ายๆของกฎของโอห์ม
แรงดัน = กระแส / ความต้านทาน
อีกเหตุผลคือ Battery เวลาชาร์ท ในขณะที่ตัว Battery มี % เหลือไม่เท่ากัน ก็จะมีผลกับการกินกระแสของตัว Battery มากน้อยต่างกันไปด้วย เพราะ Battery จะแบ่ง ลักษณะการทำงานในการชาร์ทได้ เป็น 3 ระดับ หรือที่เรียกกันว่า 3 Stages of Charge ซึ่งหมายถึง ค่าการกินกระแส และพลังงาน ของ Battery ที่ % แบตเตอรี่ต่างๆกัน ในกรณีของ lithium-ion ลองดูกราฟประกอบนะครับ
หรือหากอยากรู้รายละเอียดเกี่ยวกับ Battery เพิ่มขึ้น ก็อ่านเพิ่มเติมได้ที่ Web ของสภาวิศวกร ที่ได้ให้คำนิยาม และข้อจำกัดของ Battery Li-On ในทางวิศวกรรมไว้นะครับ เป็นบทความเก่า แต่ก็ยังสามารถใช้อ้างอิงได้อยู่ http://www.coe.or.th...etail.php?id=58
USB Meter เชื่อถือได้แค่ใหน
ตัว USB Meter ตาม Spec บอกไว้ว่า Voltage accuracy +- 0.3% และ Current accuracy +- 0.5% อันนี้เราไม่ได้วัดแบบแม่นยำ 100% อยู่แล้ว error 0.3% และ 0.5% ก็ถือว่าน้อยมากๆแล้วครับ
การทดสอบที่ 1 USB3.0 (ตอนนี้คอมพิวเตอร์ทีใช้งานมีแต่ USB3.0 เลยยังไม่ได้ทดสอบกับ USB2.0)
ข้อมูลจาก usb.org ระบุว่า USB3.0 สามารถจ่ายกระแสได้สูงสุดที่ 900mA แต่ตอนนี้ก็มีการพัฒนาให้สามารถจ่ายไฟได้มากขึ้นได้อีก ในอนาคตน่าจะถึง 100Wโดยสามารถที่จะต่อ Monitor ใช้งานกันได้เลย ก็ต้องคอยดู update กันต่อไป
ต่อ USB Load Resistance 2A จ่ายไฟได้ 4.63V 1.81A ( 8.380W)
ต่อ iPad Air เพื่อเปรียบเทียบ จ่ายไฟได้ 5.01V 0.49A ( 2.454W) ** ใช้สายชาร์ทแท้ของ apple
การทดสอบที่ 2 iPhone Adapter
Spec : 5.1V 2.1A Maximum Power 10W
ต่อ USB Load Resistance 2A จ่ายไฟได้ 5.03V 1.95A (9.808W)
ต่อ iPad Air เพื่อเปรียบเทียบ จ่ายไฟได้ 5.05V 2.05A ( 10.35W) ** ใช้สายชาร์ทแท้ของ apple
การทดสอบที่ 3 Lenovo Adapter
Spec : 5V 1.5A Maximum Power 7.5W
ต่อ USB Load Resistance 2A จ่ายไฟได้ 4.35V 1.68A (7.308W)
ต่อ iPad Air เพื่อเปรียบเทียบ จ่ายไฟได้ 5.13V 0.94A ( 4.822W) ** ใช้สายชาร์ทแท้ของ apple
[h]การทดสอบที่ 4 Multi Charger Orico IPC-2A4U[/h]
Spec : 5V 1A * 4 Max USB Power 40W
ต่อ USB Load Resistance 2A จ่ายไฟได้ 5.00V 1.93A ( 9.650W)
ต่อ iPad Air เพื่อเปรียบเทียบ จ่ายไฟได้ 4.98V 2.05A ( 10.20W) ** ใช้สายชาร์ทแท้ของ apple
การทดสอบที่ 5 PowerBank Yoobao YB-651 แท้ (ทดสอบต่อ Output2 5V 1.5A)
Spec : 2 Output 5V 1A , 5V 1.5A
ต่อ USB Load Resistance 2A จ่ายไฟได้ 4.28V 1.63A ( 6.976W)
ต่อ iPad Air เพื่อเปรียบเทียบ จ่ายไฟได้ 4.94V 0.94A ( 4.643W) ** ใช้สายชาร์ทแท้ของ apple
สรุปผล
การทดสอบนี้ บอกอะไรได้บ้าง
จากการทดสอบ จะทำให้ทราบถึงประสิทธิภาพของเครื่องชาร์ท ว่าสามารถจ่าย แรงดัน กระแส และพลังงานได้มากที่สุดเท่าไหร่ แม้จะยังไม่ถูกต้อง 100% นัก เนื่องจากค่า error ของอุปกรณ์ที่ใช้ และปัจจัยอื่นๆ เช่นความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ แต่ก็ทำให้เห็นได้คร่าวๆ จากการวัดเปรียบเทียบในแต่ละตัวอย่าง
ในเรื่องของความเข้ากันได้ของอุปกรณ์ จะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า ของ apple นี่ถ้าทุกอย่างเป็นของแท้ ผลออกมา perfect มากๆ เพิ่งรู้จากการทดสอบนี้เหมือนกัน :-D
หวังว่าจะเป็นบทความที่มีประโยชน์แก่ผู้ที่สนใจนะครับ หากเห็นว่าเป็นบทความที่มีประโยชน์ ช่วยกันกด Like กดแชร์ด้วยนะครับที่ http://www.7onlineshop.com/forum หรือ http://www.facebook....nline.bluetooth
