+หากนำไปเทียบกับองค์บากภาคแรก ในแง่ของเรื่องราว ความหลากหลาย และความลงตัวของรสชาติ ในความหมายของคำว่าครบเครื่องแล้ว แน่นอนว่าองค์บาก 2 อาจจะดูด้อยกว่าไม่ใช่น้อย แต่หากเทียบกับผลงานชิ้นก่อนหน้าอย่างต้มยำกุ้ง แน่นอนว่าผลงานการกำกับหนังใหญ่เรื่องแรกของจา พนม ยีรัมย์ (ร่วมกับพันนา ฤทธิไกร) เรื่องนี้ ดูสนุก ลงตัว และชัดเจนในตัวเองมากกว่าเป็นไหนๆ และในเวลาเดียวกัน ก็ยังให้ความรู้สึกสดใหม่อีกด้วย . . .
+องค์บาก 2 ไม่ได้มีพล็อตเรื่องสลับซับซ้อนอะไรมากมาย หนังเปิดเรื่องด้วยการไล่ล่าเด็กชายคนหนึ่ง กับบุรุษหนุ่มบนหลังม้า ที่ดูมาดก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นขุนศึกของคนกลุ่มหนึ่ง ก่อนที่เด็กจะถูกกันจากมือเพชฌฆาต โดยถูกส่งลงข้างทาง ส่วนคนพามาก็สิ้นใจอย่างอนาถด้วยห่าธนูที่ยิงเข้ามา . . เด็กชายถูกจับไปขายเป็นทาส ทว่า . . ความรักตัว กลัวตาย ฉายแววความสามารถในเชิงยุทธ์กลับไปต้องตาหัวหน้าชุมโจรที่เข้ามาปล้นสะดมเข้า ความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่จึงรุดหน้าไปเป็นอาจารย์-ศิษย์ และพ่อ-ลูกบุญธรรมในที่สุด . . .
+เด็กชานเทียนได้เล่าเรียนศาสตร์การต่อสู้ต่างๆมากมายหลายแขนง จนแตกฉานในทุกๆด้าน ทว่า . . ความแค้นฝังในก็ยังไม่ถูกลบไปจากใจเช่นกัน และแม้จะได้ชื่อเป็นว่าที่ หัวหน้าชุมโจรคนต่อไป แต่เทียนก็ตัดสินใจขอไปสะสางความแค้นที่แน่นคับอก ตั้งแต่คืนที่เขาต้องหนีการตามล่า หลังจากได้เห็นพ่อและแม่แท้ๆของตัวเอง ถูกสังหารอย่างเหี้ยมโหดต่อหน้าต่อตา . . และการเดินทางครั้งนี้ ก็เปิดเผยปมความจริงบางอย่าง และจะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล . . .
+เนื้อเรื่องที่จา พนมเอามาเล่น เป็นเรื่องราวง่ายๆในแบบเดียวกับหนังจีนกำลังภายในทั่วไป คือมีศูนย์กลางอยู่ที่ความแค้นของเด็กหนุ่ม ที่ผู้ให้กำเนิดถูกสังหารอย่างทารุณ และต้องคอยหลบหนีการตามล่าอย่างหัวซุกหัวซุน ก่อนจะได้อาจารย์ดี ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้ ก่อนที่จะกลับมาล้างแค้น . . ซึ่งก็ไม่ต่างไปจากบรรดาของคลาสสิคชั้นครูทั้งหลายของวงการหนังฮ่องกงอย่าง “เดชไอ้ด้วน” หรืองานดังๆอีกหลายต่อหลายเรื่อง ที่อยู่ในแนวๆเดียวกัน . . แต่จา พนม ที่พ่วงตำแหน่งผู้กำกับ และออกแบบคิวบู๊ ร่วมกับพันนา ฤทธิไกร และได้เอก เอี่ยมชื่น โปรดัคชั่นดีไซน์ มืออันดับ 1 ของเมืองไทย ที่หันมาเอาดีทางด้านเขียนบท ก็สามารถทำให้หนังพล็อตเดิมๆ ที่ถูกนำมาเล่าซ้ำแล้ว ซ้ำเล่า มาถูกบรรเลงบนจออีกครั้งได้อย่างสนุก รวมทั้งยังทำให้หนังออกมามีพลัง และความสดในตัวได้สำเร็จ!! ด้วยความที่หนังไม่ได้พยายามทำอะไรที่มากเกินตัว รู้ถึงจุดแข็งที่ตัวเองมี เน้นสิ่งที่ต้องการขาย ตลอดจนศักยภาพของทีมงานได้อย่างคุ้มค่า และที่สำคัญที่สุดก็คือจา พนมรู้ดีว่ากำลังทำอะไร และจะทำยังไง!?
+องค์บาก 2 ตั้งใจขายฉากแอ็คชั่นการต่อสู้ด้วยมือเปล่า อย่างหนักแน่น เป็นล่ำเป็นสัน ชนิดที่ว่าออกแบบมาแบบซื่อๆ อัดกันตรงๆ จะๆ ไม่ต้องมาลีลา ท่ามากให้เสียเวลา โดยเฉพาะในช่วงสุดท้ายของหนัง ที่ร่ายกันยาวๆกว่า 30 นาที . . คิวบู๊ต่างๆที่ใช้ ถูกนำเสนอออกมาด้วยงานโปรดัคชั่นที่ดีที่สุดเท่าที่หนังไทยเรื่องหนึ่งจะทำได้ ส่งผลให้ฉากการต่อสู้ออกมาได้อย่างกลมกลืน สมจริง สมจัง และทรงพลังอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายทำ มุมกล้อง การตัดต่อ หรืองานดนตรีประกอบที่แปลกหู ล้วนมีเสน่ห์อยู่ในตัว และที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ท่วงท่าลีลาของนักแสดง ซึ่งเด่นจนสามารถลบจุดด้อยของเนื้อหา ที่มากันง่ายแบบบ้านๆได้อย่างมิดชิด . . และยิ่งผสมกับท่วงท่าการต่อสู้ใหม่ๆที่ใส่เข้ามาในเรื่อง นอกจากจะบอกให้ผู้ชมรู้ว่าจา พนมทำการบ้านมาหนักหนาแค่ไหนแล้ว ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงของหนังได้ชัดเจนเด่นชัดขึ้น . . .
+ขณะที่ปูมหลังของเหตุการณ์ ที่พาผู้ชมย้อนกลับไปในสมัยอโยธยา ด้วยฉากทิวทัศน์ที่งามแปลกตา องค์บาก 2 ก็ยังออกมา “สด” และ “แตกต่าง” ด้วยความที่ไม่ได้เป็นแค่เปลี่ยนสถานที่ภูมิหลัง จากกรุงเทพเป็นซิดนีย์ อย่างเมื่อครั้งองค์บาก เป็นต้มยำกุ้ง แต่กลับยิ่งตอกย้ำความเปลี่ยนแปลง และแตกต่างระหว่าง องค์บาก , ต้มยำกุ้ง และองค์บาก 2 ไปพร้อมๆกัน . . และที่น่าแปลกใจก็คือ แม้หนังไม่ได้พยายามจะให้ตัวเองเป็นอะไรมากไปกว่า หนังแอ็คชั่นขายการต่อสู้ด้วยมือเปล่า แต่องค์บาก 2 ก็ยังไม่ตกหล่นอารมณ์ดราม่าแต่อย่างใด และให้จา พนมได้เล่นอารมณ์หนักๆ ที่ทำได้ดีกว่างานเรื่องก่อนๆอย่างเห็นได้ชัด ที่พยายามสร้างความผูกพันระหว่างช้างกับคน เพื่อหวังผลในทางดราม่าซะอีก โดยเฉพาะในเรื่องการเล่นกับสายตาแข็งกร้าว มุ่งมั่น ที่ยิ่งทำให้ผู้ชมรับรู้ได้ถึงความเจ็บปวด และคลั่งแค้นในใจของผู้ชายคนหนึ่งได้ ด้วยวิธีการง่ายๆ เพราะยิ่งตัวละครแสดงออกถึงความโกรธแค้นได้มากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งเผยให้เห็นด้านที่เศร้าโศกได้มากขึ้นเท่านั้น!!
+บทหนังเอง นอกจะถูกใช้เสนอจุดแข็งอย่างเต็มที่แล้ว การวางจังหวะ ไล่ระดับอารมณ์ของเหตุการณ์ต่าง ก็ทำออกมาได้อย่างกลมกลืน และลื่นไหล ไม่ว่าจะเป็นฉากการต่อสู้ที่เพิ่มระดับความหนักในแต่ละฉากไปจนถึงจุดพีค ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ถึงอารมณ์ และความสำคัญที่แตกต่างกันในแต่ละสถานการณ์ . . รวมไปถึงอารมณ์ในทาง
ดราม่าที่ค่อยๆเติมลงมาในแบบเดียวกัน ทำให้หนังทั้งเรื่องที่เหมือนจะว่างเปล่าทางอารมณ์ ก็ยังมีน้ำหนักในส่วนนี้ถ่วงค้ำเอาไว้ แน่นอนว่าอาจจะไม่ส่งผลถึงในแง่ของความซาบซึ้ง ตรึงใจอะไรมากมาย แต่อย่างน้อยก็ทำให้หน้าหนังที่ดู “แข็ง” เรื่องนี้ มี “ความรู้สึก” มีวิญญาณอยู่บ้าง . . องค์บาก 2 เป็นตัวอย่างที่ดี ของคนที่รู้จักใช้สิ่งที่มีอยู่ในมือ ของที่ถืออยู่คืออะไร!? แล้วรู้ว่าจะใช้ยังไง ต้องทำยังไง ให้ได้ประโยชน์สูงสุด. . ซึ่งจากที่เห็นๆกันมาในองค์บาก 2 กับโจทย์ที่ว่า จา พนมก็ดูจะตีแตกให้บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการไปเรียบร้อย . . .
+แต่อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับเช่นกันว่า แม้หนังจะชัดเจนในทางที่ตัวเองเป็น และก็ไม่ใช่หนังแอ็คชั่น ที่สักแต่ว่าอัดกันเอามันท่าเดียวเท่านั้น องค์บาก 2 ก็ยังหย่อนสีสันเบาๆ ที่จำเป็นต้องมี เพื่อผ่อนความแข็ง ดุดันของตัวหนัง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “อารมณ์ขัน” อยู่เยอะ . . ไม่แปลกที่ดูจบแล้ว จะรู้สึกว่าหนังตึง และแน่นเอามากๆ เช่นดียวกับฉากต่อสู้ และคิวบู๊ต่างๆ ที่มากจนเกินไป . . และยิ่งกับคนที่ไม่ใช่คอหนังแนวนี้ด้วยแล้ว หรือหากบางที แม้กับคอเดนตายก็ยังรู้สึกล้าได้เหมือนกัน รวมทั้งรอยสะดุดจากการตัดต่อกระพร่อง กะแพร่งที่เล่าสถานการณ์ซ้ำ ทั้งๆที่ไม่จำเป็นต้องย้ำภาพเดิมซ้ำๆอะไรอีกแล้วก็ตาม . . .
+ประเด็นอีกอย่างที่ต้องพูดถึง ก็คือเรื่องของความรุนแรงของภาพ ตลอดจนความร้ายกาจของวิชาต่างๆที่ใช้ ที่นอกจากจะมากเหมือนคิวบู๊แล้ว ยังยาวนานแบบเดียวด้วยเช่นกัน และนั่น . . ก็ทำให้องค์บาก 2 ย่อมไม่ใช่หนังสำหรับผู้ชมทุกวัยอย่างแน่นอน (ต่างประเทศคือ เรท G หรือ General Audiences) ซึ่งกับผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเรา กลับพาลูกหลานอายุไม่ถึง 15 ปี เข้าไปดูกันหน้าตาเฉย . . รวมทั้งหนังเอง ก็ยังไม่ขึ้นคำเตือนไว้แต่อย่างใด!? ซึ่งอย่างน้อยขึ้นเตือนไว้บอกกล่าวกันไว้บ้าง ก็ยังดี . . .
+ส่วนด้อยที่สุดในหนังก็คือ การจบแบบอย่างที่เห็น โดยที่ไม่ได้พยายามทำให้ผู้ชมรู้สึก หรือว่าเตรียมใจ และทราบมาก่อนล่วงหน้าว่า หนังจะไม่ได้มีแค่ 2 ภาค ซึ่งเป็นการกระชากอารมณ์อย่างที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่แตกต่างจากหนังอย่าง The Matrix Reloaded , Kill Bill , The Lord Of The Rings หรือกระทั่งล่าสุดอย่าง Red Clift (สามก๊ก-โจโฉแตกทัพเรือ) ที่คนส่วนใหญ่รับรู้อยู่แล้วว่าเรื่องราวไม่ได้จบเพียงเท่าที่เห็น
+แต่เมื่อมากันถึงขนาดนี้แล้ว ก็คงต้องตามดูกันต่อไป และกับสิ่งที่ทำเอาไว้ในองค์บาก 2 ก็ย่อมต้องทำให้หนังภาคต่อที่กำลังจะตามมา อย่างองค์บาก 3 เต็มไปด้วยการบ้านยากๆมากมาย ที่จะทำให้หนังออกมาได้ในระดับเดียวกับหนังเรื่องก่อนหน้า . . ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นโจทย์ที่แก้ได้ไม่ง่ายเลยทีเดียว เว้นแต่จะทึกทักความคิดมักง่าย
เอาเข้าว่า ว่ายังไงๆคนก็ต้องมาดูจา พนม ต่อให้หนังดี-ร้ายเพียงใดก็ตาม อย่างนั้นนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องทุบหม้อข้าวตัวเองโดยแท้ . . สำหรับส่วนตัวผู้เขียน และแฟนๆหนังที่ติดตามกันมาก็คงคิด และหวังไว้ไม่ต่างกัน คือเชื่อว่าทีมงานที่ผลักดันหนังอยู่เบื้องหลัง ทั้งจากเรื่องนี้ และรวมไปจนถึงเรื่องหน้า ก็คงไม่คิดฆ่าตัวตายกันด้วยเหตุง่ายๆอย่างนั้นแน่นอน . . .
+ให้ 2 ดาวครึ่งค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.thaicinema.org/kit54ongbak2.asp ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 17 November 2009 - 06:41 PM.