`

Jump to content





รีวิวหนัง The Fountain - เดอะ ฟาวเทน อมตะรักชั่วนิรันดร์


1 reply to this topic

#1 rbgel

    <อัศวินมาไค ยศกาโร่>

  • DGO Reporter
  • 6945 posts
  • Gender:Female

Posted 22 March 2009 - 09:09 PM

The Fountain - เดอะ ฟาวเทน อมตะรักชั่วนิรันดร์

-จะเลือกชีวิตอมตะ หรือจะละวาง-


QUOTE
Note – คนไม่ชอบ ดูแล้วมีสิทธิหลับสนิทชนิดศิษย์ส่ายหน้าเอาง่ายๆ แต่สำหรับคอแนวนี้ ค่อนข้างมั่นใจว่า มีโอกาสรักหนังเรื่องนี้อย่างมากมายนะคะ


“จะเป็นอย่างไรหากคุณมีชีวิตอยู่ค้ำฟ้าชั่วกาลนาน?”

+เหมือนหนังที่ว่าด้วยชีวิตหลังความตายหลายต่อหลายเรื่อง ความตายที่พานพบใน The Fountain ของผู้กำกับ และมือเขียนบท “ดาร์เรน อโรนอฟสกี้” เน้นให้ตระหนักถึงคุณค่าของการใช้เวลาอยู่กับคนที่เรารัก เพราะที่สุดแล้ว สิ่งสุดท้ายที่หลงเหลือไว้หลังจากคนที่รักจากไป ก็คือความทรงจำ!!

+แม้หนังจะนำเสนอออกมาด้วยภาพแบบหนังไซ-ไฟ โดยมีภาพยานอวกาศทรงกลม หรือลูกแก้วใส่ภาพจำลองของสถานที่ที่เป็นเอกลักษณ์ของเมืองท่องเที่ยวต่างๆ เป็นส่วนหนึ่งของฉากหลักของเรื่องก็ตามที แต่เชื่อว่ากับคอละครหลังข่าวตัวยงทั้งหลายคงจะรู้สึกคุ้นตา กับพล็อตเรื่องที่ว่าด้วยรักอมตะ ข้ามภพ ข้าม (สาม) ชาติ อย่างใน The Fountain นี้มาบ้างไม่มากก็น้อย นับกันง่ายๆ ก็ใกล้เคียงกับเนื้อหาของละครดังในอดีตของบ้านเราอย่าง “แต่ปางก่อน” เรื่องหนึ่งล่ะ . . .


+หนังประดิษฐ์ให้ดูยากขึ้นด้วยนำเสนอภาพแรกของฮิวจ์ แจ็คแมน ที่ดูคล้ายกับนักบวชของนิกายอะไรสักอย่าง ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นถึงนักบินอวกาศ ในศตวรรษที่ 26 ที่ชื่อ “ทอม ครีโอ” แล้วย้อนเวลาข้ามชาติกลับไปพันปี ยังศตวรรษที่ 16 ในฐานะแม่ทัพ สเปน นาม “โธมัส ครีโอ” และภพสุดท้าย “ทอมมี่” คุณหมอ-นักวิทยาศาสตร์แห่งยุคปัจจุบัน หรือศตวรรษที่ 21 ผู้ดิ้นรนหาวิธีรักษามะเร็งที่กำลังจะคร่าชีวิตของ “อิซาเบล” (เรเชล ไวสซ์ ) ภรรยาสุดที่รักของเขา . . หนังบอกเล่าเรื่องราวสามชาติของชายที่พยายามทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้อยู่กับผู้หญิงที่เขารัก และนำ
เสนอเรเชล ไวสซ์ผ่านสองชาติให้ได้เห็นกันจะจะ ในฐานะควีนอิซาเบลล่าแห่งสเปน และสถานะ “อิซซี่” ภรรยาสุดรักของหมอทอมมี่ ส่วนชาติที่สาม ละไว้ในฐานที่เข้าใจ ก็คือตัวเรเชล ไวสซ์เอง (^ ^)


+หลังจากเปิดตัวสองตัวละครหลัก The Fountain เดินหน้าต่อด้วยการตัดสลับเหตุการณ์ระหว่างสามชาติภพ ในลักษณะของการระลึกชาติของ ทอม นักบินอวกาศ ผู้ซึ่งเดินทางสู่ดวงดาวจุดนัดพบกับหญิงอันเป็นที่รัก และย้อนระลึกสู่ภาพของคุณหมอทอมมี่ ในศตวรรษที่ 21 ผู้ซึ่งพยายามค้นคว้าหายารักษาเนื้องอกร้าย เพื่อช่วยภรรยาสาว “อิซซี่” ที่ป่วยเป็นมะเร็งสมองระยะสุดท้าย ขณะที่เธอเองก็ใช้เวลาที่เหลือเขียนนิยายที่ว่าด้วยตำนานรัก ระหว่างแม่ทัพสเปนกับราชินีผู้เป็นที่รักเมื่อห้าร้อยปีก่อน (ศตวรรษที่ 16) ที่เกี่ยวข้องกับตำนานต้นไม้แห่งชีวิตในพระคัมภีร์ และตำนานเรื่องเล่าที่ว่าด้วยชีวิตหลังความตายของชาวมายัน ซึ่งเกี่ยวโยงกับทฤษฎีด้านดาราศาสตร์เรื่องการดับของดวงดาว ก่อให้เกิดดาวดวงใหม่อย่างไม่น่าเชื่อ!! และอันภาพเล่าของนิยายนั้น ก็เป็นภาพของทอม หรือทอมมี่ในอีกชาติหนึ่งเช่นกัน . . .


+แม้หนังจะนำเสนอภาพออกมาในรูปแบบของการระลึกชาติ แต่หากมองในอีกมุมหนึ่งว่าภาพที่เห็น ซึ่งเป็นทั้งภาพในส่วนที่เป็นอดีต และอนาคตนั้น เป็นจินตนาการของคุณหมอทอมมี่จากนิยายของภรรยา ซึ่งเธออาจจะสั่งเสียให้ช่วยเขียนบทสรุปสุดท้ายให้ ก็เป็นได้เช่นกัน . . .

+บทหนังของดาร์เรน อโรนอฟสกี้ เรียงร้อยเรื่องราวสามชาติภพ ด้วยลูกเล่นที่กลายมาเป็นเสน่ห์แบบพื้นๆ ด้วยการลำดับอดีต-ปัจจุบัน-อนาคต เดินหน้า ถอยหลัง แบบไม่มีการลำดับเวลา เล่นกับภาพซ้ำๆ เพื่อตอกย้ำความรู้สึกของชายที่รับไม่ได้กับการสูญเสียภรรยาที่รัก . . หากลองตรองๆกันดู ถ้าเรามีภรรยาสาว แสนสวย และน่ารักอย่าง
เรเชลเป็นคู่ใจเคียงกายแล้ว เชื่อว่าทุกคนก็คงจะรู้สึก และอยู่ในสภาพเดียวกับคุณหมอทอมมี่เช่นกัน คือยากจะทำใจกับการสูญเสีย “เธอ” ผู้เป็นยอดรักไป . . .


+เรเชล ไวสซ์ ในบทราชินีอิซาเบลล่า และอิซซี่ แสนสวย และงามล้ำระดับเทพธิดาก็ไม่ปาน เป็นที่น่าสังเกตอย่างหนึ่ง สำหรับหนังที่ว่าด้วยความรักแบบนี้ก็คือ บรรดา “โรค” ยอดฮิตที่นางเอกมักจะป่วยอยู่เสมอ อย่างในเรื่องนี้ก็คือ “มะเร็งในสมอง“ . . แต่ไม่ว่าอย่างไร ลักษณะพิเศษของโรคร้ายในแต่ละเรื่องที่มักจะคล้ายๆกันก็คือ มันคร่าชีวิต แต่หาได้ทำลายความสวยของนางเอกแต่อย่างใดไม่!? (^ ^)

+และสำหรับ เรเชล ไวสซ์ เธอมาด้วยภาพลักษณ์ในแบบเดียวกับที่เราคุ้นเคยกันดี จากผลงานเรื่องก่อนๆของเธอ คือเป็นผู้หญิงที่เข้มแข็ง เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งชีวิต มีความคิดอ่านที่สุขุม ลุ่มลึก และใน The Fountain นี้ เธอ (หมายถึงอิซซี่) ก็เข้าใจสามีของเธอมากพอที่จะเขียนนิยาย เพื่อชี้นำให้เขาเข้าใจสัจธรรมที่ว่าด้วยความตาย และเพื่อให้เขาสามารถตั้งหลักชีวิต ก้าวเดินได้ต่อไปหลังจากเธอจากไปแล้วนั่นเอง . . .


+เอเลน เบอร์สติน รับบทเจ้านาย และสหายต่างวัยของคุณหมอทอมมี่ ซึ่งแน่นอนว่าต้องเป็นเพื่อนของลิซซี่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ทำหน้าที่ของตัวเองที่เป็นดาราสมทบได้เป็นอย่างดี และทำให้ผู้ชมตระหนักว่า ที่สำคัญกว่าการพยายามจะยื้อชีวิตของภรรยา คุณหมอทอมมี่น่าจะใช้เวลากับเธอในช่วงที่เหลือมากกว่า เพราะอย่างที่บอกไว้ในตอนต้น . . สุดท้ายที่เหลืออยู่ก็คือความทรงจำเท่านั้น!!


+ฮิวจ์ แจ็คแมนกับการแสดงที่เข้าตา และน่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง ตลอดทุกฉาก ทุกชาติ ทุกภพ จากนักบินอวกาศ (ไร้ผม) มาเป็นคุณหมอผมสั้น เคราครึ้ม และแม่ทัพสเปนผมยาว หนวดเครารุงรัง . . แจ็คแมนขึ้นกล้องในระดับที่ต้องบอกว่าหล่อเลิศ และดูดีแทบจะทุกองศา ซึ่งนอกจากความหล่อแล้ว แจ็คแมนยังสามารถถ่ายทอดอารมณ์ของผู้ชายที่สามารถรับความจริงได้ว่า ภรรยาของตนไม่สามารถหลีกหนีความตายได้ และการทุ่มเทกับการค้นหายารักษามะเร็ง เพื่อยื้อชีวิตของเธอเอาไว้ คือหนทางในการหนีความจริงของเขา . . ซึ่งตรงนี้น่าชื่นชม และปรบมือให้
ที่แจ็คแมนสามารถถ่ายทอดความรัก และความกลัว (การสูญเสีย) ออกมาได้อย่างกินใจ จนทำให้ผู้ชมที่เป็นผู้หญิงร่วมอินไปกับเขาได้อย่างหมดหัวใจ . . .


+ที่โดดเด่นมากจนกลายเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของหนัง ก็คืองานด้านถ่ายภาพ และจัดแสง ที่สุดยอดระดับช่วยขับให้เรเชล ไวสซ์สวยเด่นได้ในทุกๆฉาก ทุกๆซีนที่ปรากฏตัว ไม่ว่าจะเป็นทั้งภาพที่เห็นทั้งตัว หรือจะถ่ายเจาะจับภาพเอาเพียงอวัยวะบางส่วนก็ตาม . . การถ่ายภาพ จัดแสง และจัดองค์ประกอบศิลป์ในหนังยอดเยี่ยม มหัศจรรย์ ไร้ที่ติ สมควรที่บรรดาช่างภาพทั้งหลายน่าจะหามาชม เก็บไอเดียมาประยุกต์ใช้ เพื่อพัฒนาฝีมือตัวเองเป็นอย่างยิ่ง . . .


+และแม้จะถูกสตูดิโอตัดงบสร้าง จาก 70 ล้านเหรียญ เหลือเพียง 35 ล้านเหรียญ เพราะสองดารานำอย่างแบรตต์ พิตต์ และเคท แบลนเช็ตต์ขอถอนตัว แต่ผู้กำกับดาร์เรน อโรนอฟสกี้ ก็สามารถแก้บทหนังเดิม ที่มีจุดขายที่พีระมิดของชาวมายัน และฉากการรบอันยิ่งใหญ่ มาเป็นพีระมิดโดดเดี่ยวกลางป่า ฉากสำคัญเพียงหนึ่งเดียวหลังการบุกเดี่ยวเพื่อค้นหาต้นไม้แห่งชีวิตของแม่ทัพสเปน ได้อย่างเหมาะสมโดยไม่มีผลกระทบต่อเนื้อหาของเรื่อง . . แต่งานภาพในส่วนของเทคนิคพิเศษ ที่เล่นกับภาพการแบ่งตัวของเซลล์ในกล้องจุลทรรศน์ ที่เชื่อมโยงกับการระเบิดของดวงดาวในอวกาศ กลับดูขาดๆเกินๆ กลายเป็นภาพชวนหัวชวนฮา และทำให้หนังไม่ขลังอย่างที่ควรจะเป็น ยังไม่นับรายละเอียดอื่นๆอย่างการเป็นปุ๋ยของต้นไม้ของแม่ทัพสเปน และภาพการถอดจิตของนักบินอวกาศ ที่ดูเหมือนรูปโปสเตอร์โฆษณาผู้นำลัทธิอะไรสักอย่างด้วยซ้ำ . . .

+สารดีๆ ของ The Fountain บอกถึงความจริงที่ว่า “รักนั้นไม่มีวันตาย” และที่ทำให้รักเป็นอมตะก็คือ รอยจำของช่วงเวลาของความสุข ที่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนที่เรารักค่ะ . . อดีตผ่านไปแล้ว อนาคตยังมาไม่ถึง ฉะนั้น เราจึงควรใช้เวลากับคนที่รัก ให้คุ้มค่าที่สุดนะคะ คุณที่รัก!!

+ให้ 3 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว) yoyo_55.gif yoyo_55.gif

+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/?movie_id=1217 ค่ะ


QUOTE
+ขอเก็บค่าอ่านคนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้นจ้า+
+ yoyo_55.gifเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+yoyo_55.gif +


+อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ

QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง


+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ

+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ


+ดูหนังให้สนุกนะคะ+

Edited by rbgel, 17 November 2009 - 07:11 PM.


#2 kikuntin

    บันทึกลับอสูรฟ้า เคล็ดวิชาอมตะ ตำนานกระบี่เมตไตร ม้วนภาพเทพยุทธ์

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 10921 posts
  • Gender:Male

Posted 24 March 2009 - 01:27 AM

เรื่องนี้ผมได้ดูทางยูบีซีแต่ว่ามาดูตอนเกือบจะท้ายแล้วทำให้ไม่ค่อยเข้าใจซักเท่าไหร ตอนนั้นที่ดูนึกว่าเนื้อเรื่องจะพูดถึงเกี่ยวกับการบรรลุนิพพานซะอีก

Edited by kikuntin, 24 March 2009 - 01:27 AM.