+หายหน้าหายตาไปหลายปี แล้วตามด้วยการกลับมาทำภาพยนตร์กำลังภายใน ที่สร้างจากนวนิยายเรื่องดังของเนี่ยอู้เช็ง "7 มือกระบี่แห่งเทียนซาน" ดูเหมือนว่าน่าจะเป็นการกลับมาที่ได้น้ำได้เนื้อทีเดียวสำหรับ "ฉีเคอะ" โดยเฉพาะเมื่อดูจากเครดิตงานเก่าๆในอดีต ที่เห็นได้ชัดว่า เขามักจะไปได้สวยกับงานหนังกำลังภายใน หรือเรื่องราวที่ตัวละครนำ ต้องมาพร้อมกับชุดจีนโบราณ ไม่ว่าจะเป็น A Chinese Ghost Story (โปเยโปโลเย) , Zu : Warriors From The Magic Mountain (ซูซัน เทพยุทธเขามหัศจรรย์) , The Legend of Zu (ซูซัน ศึกเทพยุทธถล่มฟ้า) และหนังชุด Once Upan A Time In Chaina (หวงเฟยหง)
+หากที่สุดแล้ว ผลงานนับการกลับมา หลังจากหายหน้าไปนานของฉีเคอะ จะให้ผลลัพธ์ออกมาได้แค่ "เกือบดี" ก็ตาม และที่จุกจนพูดไม่ออกสำหรับคนดู ไม่ว่าจะเป็นแฟนหนังของฉีเคอะหรือไม่ก็ตาม ก็คือ ปัญหาที่ทำให้ Seven Swords ออกมาได้เพียงแค่นี้ ดันเป็นปัญหาเดียวกันกับหนังอลังการงานสร้าง เน้นขายฉากแอ็คชั่นเรื่องหนึ่ง ของพระเอกนักบู๊ชั้นยอดของเมืองไทย ในแบบที่ Seven Swords ขายฉากยุทธ์ และคิวบู๊ที่แปลกตา หนังไทยเรื่องที่ว่าก็ไม่ต่างกัน นั่นก็คือเรื่องของ "การเล่าเรื่อง" หรือว่า "บทภาพยนตร์" นั่นเอง . . .
+ที่ต่างออกไปก็คือ ในส่วนรายละเอียดของปัญหา ขณะที่หนังอย่างต้มยำกุ้ง หนังมีเนื้อน้อยเกินไป จนกลายเป็นหนังรวมไฮไลต์ฉากแอ็คชั่นที่มีเนื้อหาเละเป็นโจ๊กร้อนๆ และแย่ในระดับที่ร้อยกันติดไม่ได้ ซึ่งก็รวมถึงความน่าเชื่อถือของเหตุการณ์ และการกระทำของตัวละคร ซึ่ง "บท" ที่ว่าก็ยังให้มาไม่ได้อีกต่างหาก . . .
+แต่กับ Seven Swords การณ์กลับกลายเป็นว่า หนังมาพร้อมกับความเทอะทะใหญ่โต ทั้งในส่วนของเนื้อหา ในส่วนของฉากอลังการ ในแบบที่ว่ามีเรื่องราวมากมายให้อยากเล่า มีอะไรมากมายที่อยากให้ดู หากแต่ว่า . . มันมากเกินกว่าจะเล่าจบในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง . . ซึ่งจากที่เห็น รู้สึกได้ทันทีเลยว่าหนังเรื่องนี้ จริงๆแล้วน่าจะเสร็จจบสมบูรณ์ด้วยความยาวที่มากกว่า 2 ชั่วโมงอยู่ไม่ใช่น้อย ก่อนจะถูกตัด ถูกเหลา ถูกเกลา ถูกกลึง เล็มนั่น ตัดนี่หน่อย ด้วยเหตุผลในการฉาย จนทำให้เรื่องที่ถูกเล่าเป็นภาพนั้นมีแต่รอยสะดุด และขาดความเชื่อมโยงที่ลงตัวไปซะหมด . . ไหนจะสิ่งที่ "ควร" จะเป็น ในหลายๆช่วงของหนัง ที่โดดไป โดดมา เต็มไปด้วยร่องรอยขรุขระ ในแบบพยายามปะติดเต็มไปหมด เพื่อให้หนังออกมาครบทั้งเรื่องที่อยากเล่า และสิ่งที่ต้องการนำเสนอ ภายในเวลาจำกัดจำเขี่ย ซึ่งแม้จะพยายามสรุปออกมาเป็นเรื่องราวคร่าวๆได้ว่า . . นี่คือ . .
+เรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคราชวงศ์ชิง ที่ฮ่องเต้มีคำสั่งให้กำจัดจอมยุทธ์ทั่วทั้งแผ่นดิน เพื่อไม่ให้มาเป็นเสี้ยนหนามต่อราชบัลลังก์ โดยมอบหมายให้พวกนักล่าค่าหัวภายใต้การนำของ "วายุไฟ" ทำการนี้ไป ซึ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปได้ด้วยดี จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านจอมยุทธ์ กองทัพของกลุ่มนักล่าค่าหัวจึงได้พบกับการต่อต้าน และทำให้ทัพหน้าของกองกำลังถึงกับพ่ายแพ้ ด้วยฝีมือของมือกระบี่เพียงแค่ 7 คน ที่หนึ่งคือ "จอมยุทธ์นิรนาม" ที่มักจะปรากฎตัวออกมาขโมยป้ายชื่อผู้เสียชีวิต ซึ่งจะใช้นำไปขึ้นเงินค่าจ้างกับทางการของพวกนักล่าค่าหัว . . สองคือคู่หนุ่ม-สาวจากหมู่บ้านจอมยุทธ์ "ฮั่น และฟู่" ที่เป็นผู้พาจอมยุทธ์นิรนามในสภาพบาดเจ็บสาหัส และเป็นผู้ต้องหาในสิ่งที่เคยทำในอดีต หนีออกจากหมู่บ้านก่อนที่จะถูกตัดสินโทษประหาร ซึ่งจอมยุทธ์นิรนามได้ขอร้องให้ทั้งคู่ พาเขาไปยังเขาเทียนซาน เพื่อขอกำลังมาช่วย . . ซึ่งนอกจากจะได้สุดยอดมือกระบี่ ที่มีความต่างทั้งอาวุธคู่กาย และอุปนิสัยใจคออีก 4 คน มาช่วยรับมือกับทัพของวายุไฟแล้ว ทั้งอาฟู่ และอาฮั่น ต่างก็ได้รับกระบี่ชั้นยอด และยังกลายเป็นศิษย์ของปรมาจารย์กระบี่แห่งผู้เขาเทียนซานอีกด้วย . . .
+หลังจากที่ไล่กองทัพของวายุไฟออกจากหมู่บ้านแล้ว ทั้ง 7 คนยังตามไปสำทับ ด้วยการถล่มหน้าด่านของวายุไฟจนเละเทะ ก่อนที่จะพาชาวหมู่บ้านจอมยุทธ์อพยพออกไปหาที่ปักหลักใหม่ที่ปลอดภัยยิ่งกว่า ซึ่งวายุไฟเองก็ส่งกองทัพตามมาจัดการอย่างไม่ลดละ . . ในขณะเดียวกัน ในหมู่ชาวบ้านเองก็กำลังมีหน่อนบ่อนไส้ ที่ลักลอบแอบบอกเส้นทาง การเดินทางของพวกเขาให้วายุไฟรับรู้เช่นกัน . . รวมไปจนถึงเรื่องราวความรักของมือกระบี่ ผู้มีวิทยายุทธ์สูงส่งที่สุดในกลุ่มอย่าง "ฉู่จ้าวหนาน" เจ้าของกระบี่มังกร กับนางบำเรอโฉมสะคราญชาวเกาหลีของวายุไฟชาว ที่ทำให้เขา และพวกพ้องตกอยู่ในสถานการณ์คับขัน อันเป็นที่มาของฉากการต่อสู้ครั้งใหญ่ และไคลแม็กซ์สุดระทึกใจในตอนท้าย . . .
+ดูกันเพียงเท่านี้ ก็ไม่น่าจะรู้สึกว่า Seven Swords มีปัญหาอะไรที่ว่าไว้ในข้างต้น เรื่องราวก็ดูชัดเจน และน่าจะมีที่มาที่ไปในแบบที่น่าเชื่อถือ แต่ . . ด้วยความที่หนังพยายามเล่าเรื่องไปพร้อมๆกับการนำเสนอฉากแอ็คชั่น ที่มีทั้งใหญ่ๆ หรือไม่ก็ยาวๆ หรือเอามันทั้ง 2 อย่างอยู่ตลอดเวลา ก็ทำให้ "เวลา" สำหรับการปูปูมหลังของตัวละคร รวมทั้งความเป็นมาเป็นไปของเนื้อหา ถูกเล็ม ขลิบหายไปจนหมด โดยเฉพาะในช่วงต้นๆ ที่หนังพยายามเล่าเรื่องราวอย่างรวบรัด ก่อนที่จะกระโดดไปแบบสุดๆ เมื่อฮั่น และฟู่ พาจอมยุทธ์นิรนามไปเขาเทียนซาน ที่จู่ๆทั้งคู่ก็ถูกสั่งให้ออกไปตามหาอุกกาบาต ก่อนจะพลัดตกเขาไป แล้วไปๆมาๆ ก็กลายเป็นถูกสั่งให้ออกไปเอากระบี่ และตบท้ายด้วยการเป็นศิษย์ของอาจารย์แห่งเขาเทียนซานซะอย่างนั้น (!?) เช่นเดียวกับคำสั่งของอาจารย์ ที่มอบหมายให้บรรดายอดมือกระบี่ออกเดินทางมาช่วยหมู่บ้านจอมยุทธ์ เรื่องราวในช่วงนี้ของหนัง เข้าขั้นสับสนอลหม่าน จับต้นชนปลายไม่ถูก ในระดับที่ทำให้คนดูกลายเป็นคนเกาหลี ที่ชื่อ "มึน อึน งง" ได้สบายๆ (^ ^)
+ในขณะเดียวกัน กับการขาดแคลนปูมหลังของตัวละครต่างๆ หรือที่มาที่ไป ยังส่งผลเสียให้คนดูไม่รู้สึกผูกพันกับตัวละครตัวใดในเรื่องเลยแม้แต่น้อย เช่นเดียวกับที่ไม่รู้สึกอะไรกับความรักที่ "จ้าวหนาน" มีให้กับนางบำเรอของวายุไฟที่ชื่อ "มุกมรกต" ทั้งๆที่หนังน่าจะสร้างความสะเทือนใจในส่วนนี้ได้ดีกว่าที่เห็น ซึ่งก็ต้องรวมไปถึงชะตากรรมร้ายๆที่ "ฟาง" สาวคนรักของฮั่นต้องเจอ . . ซึ่งแน่นอนว่าฉีเคอะ ไม่สามารถสร้างอารมณ์ร่วมกัน ระหว่างผู้ชมกับตัวหนังได้เลยแม้แต่น้อย . .
+และนั่นก็ส่งให้ฉาก "พยายาม" สร้างความประทับใจ ที่เป็นการเล่าถึงปูมหลังของจอมยุทธ์แต่ละคนเพียง "สั้นๆ" ในช่วงที่ทั้งหมดเดินทางกลับไปที่ด่านของวายุไฟอีกครั้งเพื่อช่วยจ้าวหนาน กลายเป็นฉากที่เปิดรอยโหว่ของหนังในเรื่องของความอ่อนด้อย ในการทิ่มแทงความรู้สึกของคนดูให้ชัดขึ้นไปอีก . . เพราะมากันถึงตอนนี้ หากไม่ใส่มายังอาจจะดูดีซะกว่าด้วยซ้ำ อย่างน้อยๆ ก็น่าจะทำให้ประหยัดเวลา และหนังรัดกุมขึ้นอีกโข . . แต่ก็ยังดี ที่ฉีเคอะยังเอา "อยู่" ในส่วนของคิวบู๊ และบรรยากาศโดยรวมของหนัง หรืออาจจะรวมถึงแง่คิดประเด็นเกี่ยวกับ "คุณธรรมของผู้กล้า" ซึ่งเป็นประเด็นที่แข็งแรงในแบบหนังจีนกำลังภายในยุคโบราณก็ยังได้ ที่มีตัวเอกเป็นฮีโร่ในแบบโรแมนติกเต็มที่ ถึงอาจจะดูไม่ดี แต่ก็ยัง "เท่" ได้ใจ . .
+กับฉากแอ็คชั่น และคิวบู๊ที่มี Seven Swords ทำได้ "ถึง" ดู "จริง" และ "สุดยอด" ตรงนี้ต้องขอคารวะ โดยเฉพาะฉากดวลกระบี่ในทางเดินแคบๆ ของวายุไฟ กับจ้าวหนาน ที่น่าจะกลายเป็นฉากคลาสสิคได้ไม่ต่างไปจากฉากการต่อสู้บนชั้นไม้ไผ่ของ Once Upon A Time In China II . . อีกทั้งแบบดีไซน์กระบี่ของจอมยุทธ์แต่ละคน หรือแม้แต่อาวุธคู่ใจของนายกองทัพวายุไฟ ที่ดูแปลกตา ทั้งรูปลักษณ์ และการใช้งาน ซึ่งกับงานในส่วนนี้ค่อนข้างโดดเด่น คล้ายๆกับบุคลิกลักษณะของตัวละครแต่ละตัว ที่ออกมาเท่ และมีความน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นในกลุ่ม 4 มือกระบี่ หรือว่ากลุ่มยอดฝีมือหัวแถวของวายุไฟก็ตาม . . .
+กับโทนบรรยากาศที่ค่อนข้างดิบที่ฉีเคอะนำเสนอ ช่วยขับเน้นความเป็นเรียลลิสติกในแบบเดียวกับที่เห็นกันมาใน The Balde (เดชไอ้ด้วน แขนหลุดไม่หลุดแค้น) หรือ Musa และช่วยสร้างความจริงจังให้กับเนื้อหาของหนังได้เป็นอย่างดี แม้โดยรวมๆ เมื่อบวกไปกับการเล่าเรื่อง Seven Swords ค่อนข้างจะอัดคนดูด้วยความมึนงงอยู่ตลอดเวลา จนน่าจะมีอะไรมาผ่อนบ้างก็ตามที . . และที่ลืมไม่ได้เลยก็คืองานดนประกอบของหนัง ที่ประพันธ์โดย "เคนจิ คาวาอิ" ที่ช่วยให้เรื่องไม่แข็งกระด้าง หรือว่าแห้งแล้งความรู้สึกเกินไปในหลายๆช่วง . . .
+จากเท่าที่เห็น ถึงแม้จะพอมีข้อแก้ต่างให้ได้บ้าง กับหนังที่ว่ากันว่ายังมีฉบับสมบูรณ์ ความยาว 4 ชั่วโมงให้ได้ชมกันในเวอร์ชั่น DVD แต่ก็ถือเอาเป็นข้ออ้างไม่ได้ว่าการที่ต้องตัดหนังทิ้งไปเป็นชั่วโมงๆ และทำให้หนังขาดๆเกินๆจากหลายๆส่วนที่จะช่วยเติมเต็มให้กับการเล่าเรื่องไป เพราะหากจะว่าไปแล้ว กับภาพยนตร์ที่ดีนั้น การเล่าเรื่องของหนัง ไม่ว่าจะหนึ่ง หรือสอง หรือยาวไปจนถึงสามชั่วโมงก็ตามที ไม่ว่าจะใช้เวลาในการฉายขนาดไหน มันก็ต้องมีความลงตัว และมีความสมบูรณ์อยู่ในตัวของมันเอง ไม่ใช่ว่ายิ่งเวลายิ่งน้อย เรื่องราวที่อยากเล่าก็ยิ่งกระพร่องกระแพร่ง ติดขัด รวบรัดไปหมดจนดูแทบไม่รู้เรื่องเลยซะอย่างนั้น . . .
+ที่สุดแล้วอย่างน้อย Seven Swords ก็ยังทำให้ระลึกถึงหนังกำลังภายในยุคเก่าๆ ที่คิวบู๊เน้นความดิบ ดุดัน รวดเร็ว สมจริงสมจัง และความสามารถของนักแสดง มากกว่าจะเน้นความสวยงามของฉาก หรือความเป็นศิลปะ เหมือนหนังจีนกำลังภายในบางเรื่องในช่วงหลังๆมาด้วยซ้ำ . . อาจไม่ใช่หนังที่สมบูรณ์แบบของฉีเคอะ แต่คอหนังกำลังภายในทั้งหลายก็ไม่ควรพลาดค่ะ!!
+ให้ 2 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/mt_picture.php?movie_id=560 ค่ะ
QUOTE
+ขอเก็บค่าอ่านคนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้นจ้า+
+ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+ +
+อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ
QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
+ดูหนังให้สนุกนะคะ+
Edited by rbgel, 19 November 2009 - 12:27 PM.