`

Jump to content





รีวิวหนัง Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull


5 replies to this topic

#1 rbgel

    <อัศวินมาไค ยศกาโร่>

  • DGO Reporter
  • 6945 posts
  • Gender:Female

Posted 21 November 2008 - 07:54 PM

Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull

-อินเดียน่าโจนส์ ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า 4 : อาณาจักรกะโหลกแก้ว-



QUOTE
+คำเตือน 1 - บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาสำคัญบางอย่าง บางตอนของหนัง กรุณารับชมตัวหนังก่อนอ่าน (หนังสนุกดี คุ้มค่าน่าซื้อหาแน่นอน)

+คำเตือน 2 - เก็บค่าอ่าน คนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้น (นิสัย นิสัย yoyo_57.gif ) ไม่ให้กำลังใจ ขอให้จู๊ดๆ ^ ^



+เหมือนกับการเดินทางย้อนกาลเวลา สำหรับการสัมผัสกับการผจญภัยครั้งที่ 4 ของ "ดร. เฮนรี่ วอลตัน โจนส์ จูเนียร์ ที่ 2" อาจารย์สอนวิชาประวัติศาสตร์ และโบราณคดีในมหาวิทยาลัย หรือที่ผู้ชมทั่วโลกรู้จักกันดีในชื่อ "อินเดียน่า โจนส์ หรือ อินดี้" ในยามที่อยากเรียกเพียงชื่อสั้นๆ . . .


+จาก "หีบแห่งพันธสัญญา" บรรจุบัญญัติ 10 ประการที่อียิปต์ ใน Riders Of The Lost Ark สืบเนื่องมายังการผจญภัยในวิหารเจ้าแม่กาลีที่อินเดีย ใน Indiana Jones And the Temple Of Doom ก่อนจะปิดท้ายลงด้วยการเดินทางข้ามผ่านทะเลทรายอันกว้างใหญ่ และร่วมผจญภัยกับผู้ให้กำเนิด เพื่อตามหา "จอกศักดิ์สิทธิ์" ของพระเยซู ขณะเสวยพระกระยาหารมื้อสุดท้ายใน Indiana Jones And The Last Crusade . . .

+แต่แล้วอินดี้ในวัยที่ห่างเท่ากับเวลาของหนังจากภาคก่อนหน้า มาจนถึงภาคนี้ กำลังจะเริ่มภารกิจใหม่ด้วยการเดินทางไปยังเปรู เพื่อตามหากระ
โหลกแก้ว และช่วยชีวิต "อ็อกซ์" เพื่อนนักโบราณคดีที่ถูกพวกเคจีบี หน่วยสืบราชการลับของรัสเซียจับตัวไป โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือให้เขานำไปสู่กระโหลกแก้วปริศนาที่เฝ้าตามหากัน . . .


+ในขณะเดียวกันนั้น อินดี้ก็ต้องเดินทางร่วมกับเด็กหนุ่มชื่อ "มัทท์ วิลเลี่ยม" ที่ได้รับการดูแลจากอ็อกซ์ ซึ่งแม่ของเขาก็ถูกจับตัวไปพร้อมๆกับอ็อกซ์เช่นกัน โดยที่เบื้องหลังของอินดี้ กับมัทท์ และแม่ของเขานั้น ก็คือความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งกว่าอื่นใด . . ส่วนคู่ปรับในหนนี้อินดี้ยังต้องเจอกับ "อิริน่า สปัลโก้" เจ้าหน้าที่เคจีบีสาวสุดแกร่งผู้มากด้วยฝีมือ ชนิดครบเครื่องทั้งบู๊และบุ๋น กับฝูงมดกินคน และความลี้ลับอมตะที่ทางการอเมริกาปกปิดเอาไว้ในโซนปริศนา "แอเรีย 51" ที่เป็นจุดกำเนิดของวิวัฒนาการต่างๆอีกมากมายของโลก!!!


+ผู้กำกับสปีลเบิร์กเปิดฉากอินดี้ 4 ด้วยการยั่วเย้าเอากับแฟนพันธุ์แท้เดนตายของซีรีย์ ที่แทนที่จะเริ่มต้นด้วยฉากยอดเขาสักยอดทาบทับกับโลโก้ของพาราเม้าท์ กลับกลายเป็นเพียงเนินดินเล็กๆ และบทเพลงที่เป็นเอกลักษณ์ของยุค 50 นั่นก็คือเพลงร็อกแอนด์โรลล์ . . ตามด้วยการบุกแอเรีย 51 ที่ทำให้ได้เห็นว่าที่สุดแล้ว บรรดาสิ่งของที่มีพลังเหนือธรรมชาติทั้งหลายล้วนถูกนำมาเก็บอยู่ที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่สปัลโก้กำลังตามหา เพื่อนำไปสู่กระ
โหลกแก้วปริศนา หรือว่าหีบบรรจุบัญญัติ 10 ประการที่เคยเห็นกันมาในหนังภาคแรก ซึ่งก็ทำให้รำลึกได้ถึงความน่าตื่นตาตื่นใจของหนังในตอนนั้น ไปพร้อมกับเพลงธีมอมตะสุดคลาสสิค "Raider March"


+ไม่ใช่เพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น ที่ทำให้รู้สึกเหมือนกับกำลังเดินทางย้อนอดีต แต่เรื่องราวต่อเนื่องหลังจากนั้นก็คือโครงเรื่องที่เปรียบได้กับสูตรสำเร็จของหนัง Indiana Jones ทุกภาค . . เมื่อดร.โจนส์กลับมาสอนหนังสืออีกครั้ง ก่อนจะเจอกับเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ต้องออกผจญภัยอีกครั้ง หากแต่คราวนี้มี
"มัทท์" เด็กหนุ่มมาดเฮี้ยว ที่แต่งตัวราวกับถอดแบบมาจาก "มาร์ลอน
แบรนโด" ใน The Wild One ยังไงยังงั้นร่วมทางไปด้วย . . .


+ผู้กำกับสปีลเบิร์กทำได้อย่างยอดเยี่ยม กับการพาอินเดียน่า โจนส์ที่ทุกคนคุ้ยเคยกลับมาลงจออีกครั้ง โดบเฉพาะกับการคงบรรยากาศของหนัง ที่แม้แฮร์ริสัน ฟอร์ดจะมาพร้อมกับความชรา (เหี่ยว!?) แต่กับงานในส่วนของภาพ ดนตรีประกอบ มุมกล้อง การตัดต่อ ฉากแอ็คชั่น รวมไปจนถึงการทำเทคนิคพิเศษต่างๆ ก็ยังมาพร้อมกับอารมณ์เดิมๆ ที่หากชมหนังทั้ง 4 ตอนแบบรวดเดียวจบจาก Riders Of The Lost Ark มาจนถึง Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull ก็เชื่อได้ว่า ผู้ชมแทบจะไม่รู้สึกโดดในเรื่องอารมณ์ของภาพ และบรรยากาศของหนังเลย ทั้งๆที่ระยะห่างของหนังภาคแรกมาจนถึงภาคล่าสุดนั้น กินเวลายาวนานมากกว่า 2 ทศวรรษเลยด้วยซ้ำ . . .


+ขณะเดียวกัน หนังก็มาพร้อมกับมุขเฉพาะตัวของหนังชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นฉากแอ็คชั่น ที่จะต้องมีฉากดวลกำปั้นของอินดี้กับคู่ต่อกร ที่ดูแล้วไม่น่าจะพอฟัดพอเหวี่ยงกันไหว หรือมุขตลกจากบทสนทนาที่เป็นการต่อปากต่อคำของตัวละครสำคัญๆในเรื่อง ที่บางครั้งก็คือการเอามุขที่เคยใช้ในภาคก่อนๆมาเล่น หากแต่ครั้งนี้สลับฝ่ายเจ้าของคำพูด รวมไปจนถึงสลับแคแรคเตอร์ ซึ่งคงต้องไปชมกันเองว่างานนี้ มีการสลับแคแรคเตอร์กันแบบไหน!? รวมไปจนถึงมุขที่เป็นการดึงเอาเหตุการณ์เก่าๆมาใช้ ที่น่าจะทำให้แฟนดั้งเดิมที่ตามดูกันมาตั้งแต่ Riders Of The Lost Ark ได้อมยิ้มเล็กๆกันไปตลอดทั้งเรื่อง แม้จะดูไปลุ้นไปว่า แฮร์ริสัน ฟอร์ดจะออกอาการหืดจับให้เห็นบ้างไหมก็ตาม (^ ^)


+แต่ถึงจะโรยราขนาดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ใครก็ได้จะมารับบทอินดี้แทนฟอร์ด แต่ถ้าจะให้เล่นต่ออีกสักภาค ก็เห็นๆกันอยู่ว่าฟอร์ดนั้นดูชราเกินกว่าจะมาบทแอ็คชั่น ที่เน้นความปราดเปรียวอีกต่อไปแล้ว และหากเทียบกับฉากแอ็คชั่นของอินดี้ในภาคนี้กับภาคก่อนๆ เห็นได้ชัดเลยว่างานนี้ฟอร์ดลุยน้อยลงกว่าเดิมแบบสัมผัสได้กับตา . . แต่คนที่มาช่วยแบ่งเบาหน้าที่ส่วนนี้ของฟอร์ดไปก็คือ "ไชอา ลาบัฟ" ที่พอเอาเข้าจริงๆ บทหนุ่มเฮี้ยวอย่างมัทท์ในเรื่องนี้ ดูจะไม่เข้ากับเด็กหนุ่มท่าทางก๊องแก๊งอย่างเขาเท่าไรนัก มัทท์ของไชอาดูลุกลี้ลุกลนเกินกว่าที่เด็กห้าวๆจะเป็น และยังไม่รวมไปถึงสง่าราศี ที่ไม่ว่าจะดูกี่ทีๆ ก็เป็นแค่เด็กหนุ่มข้างบ้าน ท่าทางกะล่อนๆ อย่างที่เคยเห็นกันมาใน Disturbia หรือ Transformers . . .


+แต่คนที่ดูแปลกตา และกลายเป็นสีสันที่จัดจ้านของหนังได้มากกว่ากลับกลายเป็น "เคท แบลงเช็ตต์" นักแสดงที่เล่นบทอะไรก็ดูดีไปหมด เจ้าของบท "อิริน่า สปัลโก้" ซึ่งแม้กับบทที่ค่อนข้างแบนอย่างในเรื่องนี้ เธอก็ยังเล่นได้ดีจนน่ากลัว และได้โชว์ลีลาคิวบู๊อย่างกับน้องจีจ้า ญาณินยังไงยังงั้น . . ชักอยากจะเห็นเธอรับงานแอ็คชั่นจริงๆ จังๆ เน้นๆ สักทีเหมือนกัน บางทีนอกไปจากงานคุณภาพที่ได้เห็นกันประจำ อาจจะได้เห็นเธอในมาดฮีโร่-แอ็คชั่นหญิงคนใหม่ก็เป็นได้ (!?)


+ด้วยความที่หนังพยายามคงสภาพบรรยากาศแบบเดิมๆเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นงานโปรดัคชั่น หรือสไตล์การเล่าเรื่อง ไม่น่าแปลกใจที่นอกจากจะรู้สึกว่าตัวหนังนั้น "เชย" แล้ว Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull ยังให้ความรู้สึกที่ไม่กระฉับกระเฉง ทั้งๆที่มองย้อนกลับไป Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull เองก็มีอะไรๆที่ไม่ต่างไปจากหนังภาคก่อนๆเลย เพียงแต่จากที่เคยรู้สึกฉับไว รุกเร้าเดินหน้าเต็มที่ เมื่อเทียบกับจังหวะการเล่าเรื่องของหนังในยุคนี้แล้ว Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull ก็กลายเป็นรถเมล์หวานเย็นพาขี่เล่นชมทุ่งไปเรื่อยๆ . . .


+หากจะโทษจังหวะของหนังยุคใหม่เพียงฝ่ายเดียวก็ไม่น่าจะถูก เพราะกับฉากโชว์เด็ดๆทั้งหลายใน Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull นั้น กลับดูบาง และเบากว่าภาคก่อนๆเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากในสุสานที่เทียบไม่ได้เลยกับฉากเผชิญหน้ากับฝูงอสรพิษใน Raiders Of The Lost Ark หรือฉากแมลงฝูงใหญ่ในอุโมงค์ลับของ Temple Of Doom และความตื่นเต้นของฉากล่องแก่งน้ำตก 3 ชั้น ก็ดูเรื่อยๆมาเรียงๆ เมื่อนำมาเปรียบมากับฉากรถรางในเหมืองของ Temple Of Doom เช่นกัน หรือจะแม้กับฉากวิ่งหนีลูกหินยักษ์ในฉากเปิดเรื่องของ Raiders Of The Lost Ark ก็ยังได้ . . รวมไปถึงฉากขับรถไล่ล่าที่ทำยังไงก็ดูไม่มันส์ไปกว่าฉากแบบเดียวกันนี้ของหนังภาคแรก และฉากแอ็คชั่นเด็ดบนหลังมอเตอร์ไซด์ของ The Last Crusade . . .


+อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้ข้างต้นว่า ถึงจะเก็บเอาอารมณ์และบรรยากาศแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้ แต่ Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull ก็ยังรู้สึกได้ถึงอาการโรยราและอ่อนแรง ที่ขาดพลังและความเข้มแข็งบางอย่างในตัวไปอย่างเห็นได้ชัด . . ซึ่งบางที หากลองมองย้อนกลับมา ที่รู้สึกๆกันว่าหนัง "ล้า" กว่าหนังสนุกๆที่ดูๆกันมาในยุคนี้ และพาลตั้งคำถามขึ้นมาว่า แล้วอะไรล่ะคือเสน่ห์ของหนังชุดนี้ และอะไรคือมนต์ขลังของหนัง!? ที่เอาคนดูรุ่นนั้นจนอยู่หมัดตั้งแต่ภาคแรก จนกลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ติดตามกันตั้งแต่นั้นมา . . .

+บางทีคำตอบที่ว่านั้นก็อยู่ในสูตรสำเร็จเดียวกันกับหนังแนวๆนี้อีกสารพัดเรื่องนั่น
แหล่ะค่ะ ที่เป็นมนต์ขลังและเสน่ห์ของหนังที่ว่าด้วยเรื่องราวการผจญภัยของอินเดียน่า โจนส์ อยู่ตรงระหว่างการเดินทางและปลายทางของการผจญภัยในแต่ละครั้งของเขา ที่มักจะต้องมีฝ่ายผู้ร้ายคอยตามติด ตามล้างตามเช็ดชนิดกัดกันไม่ปล่อย และมีปัญหาอีกสารพัดให้เขาได้ใช้ความรู้ ความสามารถ และไหวพริบ ปฏิพานแก้ไขเอาตัวรอด . . อาจจะสำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง หรือบางทีก็มีคนมาช่วยบ้าง เพราะอินดี้ไม่ใช่ซูเปอร์แมน ที่สำคัญสไตล์ของหนังก็ต้องมีฉากแอ็คชั่น-ชวนหัวชวนฮา ให้อารมณ์แบบการ์ตูนนิดๆ โม้หน่อยๆ คล้ายๆกับสูตรสำเร็จของหนังเฉินหลงที่เคยผ่านตามาหลายๆเรื่องเสริมเข้ามา ซึ่งสูตรสุดฮาที่ว่า หนังฟอร์มใหญ่รายได้ถล่มโลกอย่าง Parates Of The Caribbean ก็นำมาใช้เช่นเดียวกัน . . และนั่น ก็คือสูตรต้นตำรับของหนังอินเดียน่า โจนส์ของแท้ที่เป็นมาตั้งแต่ภาคแรก!!!


+สตีเว่น สปีลเบิร์กนั้นเป็นผู้กำกับที่ไม่ค่อยเปลี่ยนทีมงาน หรือคนที่เขาร่วมงานด้วย เราจึงยังเห็นชื่อของ "ยานุสซ์ คามินสกี้" ผู้กำกับภาพชาวโปแลนด์ในฐานะผู้กำกับภาพของหนังเช่นเดิม นับจาก Schindler's List และดนตรีประกอบสุดอมตะของจอห์นวิลเลี่ยม ก็ยังคงเสริมอารมณ์ไปกันได้ด้วยดีกับฉากแอ็คชั่นของหนัง . . ส่วนบทภาพยนตร์ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นที่พอใจของจอร์จ ลูคัส และผู้กำกับสปีลเบิร์ก รวมทั้งแฮรร์ริสัน ฟอร์ดด้วย เป็นฝีมือของเดวิด เค็ปป์ ที่เคยเขียนบทหนังของสปีลเบิร์กเรื่อง Jurassic Park และ War Of The Worlds มาแล้ว . . .

+ซึ่งไม่รู้ว่าสปีลเบิร์กมุขเยอะเองหรืออย่างไร หรือเป็นเพราะบทหนังของเค็ปป์กันแน่!? แต่หากเป็นแฟนหนังของสปีลเบิร์ก เชื่อว่าน่าจะสนุกกับ Indiana Jones ภาคนี้ในอีกมุมนึงเป็นของแถม เพราะ "มุม" ที่ว่านี้ คือการยืมไอเดียจากหนังเรื่องก่อนของสปีลเบิร์กเอง อย่าง Close Encounters of the Third Kind และ E.T.The Extra-Terrestrial มาต่อ-ยอด ซึ่งตอนท้ายของหนัง เมื่อเฉลยปมปริศนาที่ว่าด้วยกระโหลกแก้ว "Crystal Skull" อันเป็นเหตุที่มาของการผจญภัยครั้งใหม่ของอินเดียน่า โจนส์ เชื่อว่าความรู้สึกแรกของแฟนหนังพันธุ์แท้ของสปีลเบิร์ก และลูคัส คงจะช็อกในใจ และอุทานว่า "เล่นกันมุขนี้เลยเหรอเนี่ย!!" เป็นแน่ . . เพราะกับฉากใหญ่ในตอนท้ายของหนัง เค้าเล่นจับเอา Close Encounters of the Third Kind มานิด E.T. มาหน่อย แล้วยำๆให้เข้ากับรูปแบบความเป็นอินเดียน่า โจนส์ของแท้ . . .

+แต่หากจะว่าไป อันที่จริงหนังก็บอกนัยไว้แล้วตั้งแต่ฉากแรก เมื่อสิ่งที่ตัวละครกลุ่มหนึ่งค้นหา ถูกบรรจุอยู่ภายใต้หีบห่อที่มีตราประทับว่า "รูสเวลล์" ซึ่งหากใครที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ทีวีซีรีย์เรื่องลึกลับชื่อดังอย่าง The X-Files รวมถึง Roswell ด้วยละก็ ก็คงจะเริ่มรู้ตั้งแต่นาทีนั้นแล้ว ว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับ "พวกเขา" แน่ๆ . . และแน่นอนว่านี่เป็นบทหนังที่ถูกตาต้องใจสปีลเบิร์ก และลูคัสเป็นที่สุด . . .


+ถึงแม้ว่าการกลับมาในครั้งนี้ของดร.โจนส์จะขาดความสดใหม่ และมีอะไรขาดๆเกินๆไปบ้าง แต่แค่ได้เห็นอินเดียน่า โจนส์กลับมาอีกครั้ง แถมพร้อมหน้าพร้อมตากันทั้งเมียและลูกอีกต่างหาก สำหรับแฟนเก่าดั้งเดิมที่ตามกันมา เชื่อว่าน่าจะรู้สึกปลื้มปิติ และดีใจอยู่ไม่ใช่น้อย . . ซึ่งการมีสองตัวละครนี้ในหนัง ถือเป็นหนึ่งในส่วนดีที่สุดส่วนหนึ่งของหนังภาคนี้เลยทีเดียว . . .

+ตัวละครแมเรียนของ "คาเรน อัลเลน" ซึ่งเป็นนางเอกจากหนังภาคแรก คือ Raiders Of The Lost Ark คือผู้หญิงในประเภทที่เอาผู้ชายอย่างอินเดียน่า โจนส์อยู่ ผู้เขียนก็คงเป็นเช่นเดียวกับแฟนหนังชุดนี้ทั่วโลก คืออยากเห็นตัวละครคู่นี้ลงเอยกัน ซึ่งถือเป็นความน่ารักของหนัง และบทหนัง ที่นำตัวละครตัวนี้กลับมาอีกครั้ง และให้เธออยู่ถูกที่ (ซะที) ส่วนการ "แสดง" ที่เลือดใหม่อย่างไชอา ลาบัฟมีให้ ถึงแม้จะดูขัดๆตาไปบ้าง แต่ก็ยังถือว่าดูเข้ากันได้กับความเป็น "ลูกพ่อ " ลูกแม่" และ "หลานปู่" ชนิดอยู่ในสายเลือดของแท้ . . ซึ่งถ้าจะหาอีกหนึ่งจุดแข็งของบทหนัง ตัวละครแม่-ลูกคู่นี้ ช่วยชีวิตหนังเอาไว้เยอะ!!!


+อย่างที่เคยเกริ่นมาข้างต้น ซึ่งแม้จะรู้สึกว่าหนังอินดี้ภาคนี้ ออกจะโม้ๆ และดูเชยๆอยู่ไม่ใช่น้อย หากแต่ความเชยนั้นก็เป็นความตั้งใจของผู้กำกับสตีเว่น
สปีลเบิร์ก ที่อยากคงอารมณ์และบรรยากาศในหนังสามภาคแรกเอาไว้ ให้แฟนๆได้คิดถึงกันเต็มที่ และสำหรับแฟนๆพันธุ์แท้ของอินดี้นั้นย่อมรู้ดีว่า การผจญภัยของเขา ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ และไม่มีดินแดนลี้ลับแห่งไหนที่เขาไปไม่ถึง . . และในครั้งนี้ บางทีอินเดียน่า โจนส์ และครอบครัวอาจจะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกๆที่ได้เห็นอาคันตุกะผู้มาเยือนตัวเป็นๆ ก่อนใครๆในโลก ก็เป็นได้นะ . . .

+ให้ 2 ดาวครึ่งค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว) yoyo_55.gif yoyo_55.gif

+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1451.html ค่ะ

------------------------------------------------------

+Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull Trailer+
http://www.youtube.com/watch?v=UsGaB52hfjc

QUOTE
+ขอเก็บค่าอ่านคนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้นจ้า+
+ yoyo_55.gifเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+yoyo_55.gif +


+อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ

QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง


+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ

+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ


+ดูหนังให้สนุกนะคะ+

Edited by rbgel, 19 November 2009 - 03:09 PM.


#2 kikuntin

    บันทึกลับอสูรฟ้า เคล็ดวิชาอมตะ ตำนานกระบี่เมตไตร ม้วนภาพเทพยุทธ์

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 10921 posts
  • Gender:Male

Posted 22 November 2008 - 09:46 PM

ยังไม่ได้ดูเรื่องนี้เลยน้องตูนมารีวิวแบบนี้คงต้องไปหามาดูซะแล้ว

#3 nismo_silvia

    God bless me !

  • Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 1315 posts
  • Gender:Male

Posted 23 November 2008 - 03:44 PM

ให้ดาวมากไปรึเปล่าครับ yoyo_77.gif

#4 kie_online

    FIFA 15 : SiAM FC

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 5074 posts
  • Gender:Male
  • Location:Ghibli World

Posted 23 November 2008 - 03:53 PM

QUOTE
+ด้วยความที่หนังพยายามคงสภาพบรรยากาศแบบเดิมๆเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นงานโปรดัคชั่น หรือสไตล์การเล่าเรื่อง ไม่น่าแปลกใจที่นอกจากจะรู้สึกว่าตัวหนังนั้น "เชย" แล้ว Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull ยังให้ความรู้สึกที่ไม่กระฉับกระเฉง ทั้งๆที่มองย้อนกลับไป Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull เองก็มีอะไรๆที่ไม่ต่างไปจากหนังภาคก่อนๆเลย เพียงแต่จากที่เคยรู้สึกฉับไว รุกเร้าเดินหน้าเต็มที่ เมื่อเทียบกับจังหวะการเล่าเรื่องของหนังในยุคนี้แล้ว Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull ก็กลายเป็นรถเมล์หวานเย็นพาขี่เล่นชมทุ่งไปเรื่อยๆ . . .

+หากจะโทษจังหวะของหนังยุคใหม่เพียงฝ่ายเดียวก็ไม่น่าจะถูก เพราะกับฉากโชว์เด็ดๆทั้งหลายใน Indiana Jones and The Kingdom of The Crystal Skull นั้น กลับดูบาง และเบากว่าภาคก่อนๆเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นฉากในสุสานที่เทียบไม่ได้เลยกับฉากเผชิญหน้ากับฝูงอสรพิษใน Raiders Of The Lost Ark หรือฉากแมลงฝูงใหญ่ในอุโมงค์ลับของ Temple Of Doom และความตื่นเต้นของฉากล่องแก่งน้ำตก 3 ชั้น ก็ดูเรื่อยๆมาเรียงๆ เมื่อนำมาเปรียบมากับฉากรถรางในเหมืองของ Temple Of Doom เช่นกัน หรือจะแม้กับฉากวิ่งหนีลูกหินยักษ์ในฉากเปิดเรื่องของ Raiders Of The Lost Ark ก็ยังได้ . . รวมไปถึงฉากขับรถไล่ล่าที่ทำยังไงก็ดูไม่มันส์ไปกว่าฉากแบบเดียวกันนี้ของหนังภาคแรก และฉากแอ็คชั่นเด็ดบนหลังมอเตอร์ไซด์ของ The Last Crusade . . .



ใช่ครับ หนังดูแล้วสนุก แบบเรื่อยๆ.... ไม่มันส์ ไม่สะใจ ไม่ลุ้น ไม่ระทึก แต่อย่างใด

ถ้าซื้อสะสม เป็น collection ก็โอเคครับ

ซื้อมาดูเฉยๆ แนะให้ซื้อแบบแผ่นเดียวก็พอครับ หนังไม่ได้ประทับใจมากขนาดต้องซื้อ 2 แผ่น หรือกล่องเหล็กแต่อย่างใด

#5 Brutal-Method

    เซียนเกม

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 6439 posts
  • Gender:Male

Posted 30 November 2008 - 12:39 PM

ผมว่าดุได้เพลินๆนะ
แต่แบบมันไม่อิ่มแบบเหมือนตอนที่ดูสมัยเด็กๆ กับภาคก่อนๆ

ปล. ลุงฟอร์ดยังบู๊ได้อีก yoyo_76.gif

#6 mitsurugi

    นักเล่นเกมระดับสูงชั้นที่ 1

  • Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPip
  • 777 posts
  • Interests:katana

Posted 03 December 2008 - 05:55 PM

ชอบ อินเดียน่า โจนแต่ มันสมบูรณ์เมื่อ ภาคที่ 3 แล้ว น๊า

ภาคนี้ เหมือน หากินกับ ศพ และ สงสารคนแก่ไงไม่รู้ yoyo_47.gif