+จากที่รู้จักกันในฐานะผู้กำกับหนังแอ็คชั่นที่มีสไตล์เฉพาะตัว ทั้งในตัวเรื่อง และกับงานด้านภาพ แต่นับจาก M:I-2 ผลงานต่อจากนั้นของ "จอห์น วู" ดูจะไม่มีอะไรแปลกใหม่ให้คอหนังได้เห็น ในขณะเดียวกันก็เหมือนว่าเขาเองกำลังติดอยู่กับกรอบอะไรบางอย่างของฮอลลีวู้ดอยู่ . . .
+หลัง Patcheck วูหายหน้าไปนาน ก่อนที่จะกลับมาพร้อมกับผลงานที่เรียกได้ว่า น่าจะยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยทำมากับ Red Clift ซึ่งเป็นการนำเรื่องราวของสงครามที่ผาแดง ซึ่งเป็นฉากการรบตอนหนึ่งใน "สามก๊ก" ที่ถือว่าสนุก เข้มข้น และมีการชิงไหวชิงพริบมากที่สุดมาลงจอ . . โดยจับเอาเรื่องราวตั้งแต่เหตุการณ์ที่ทัพของเล่าปี่ต้องถอยหนีทัพของโจโฉที่พยายาม
ตีรุกไล่มาอย่างกระชั้นชิด จนฮูหยิน และบุตรของเล่าปี่ถึงกับตกอยู่ในวงล้อมของทัพทหารโจโฉ . . จูล่งจึงต้องฝ่าเข้าไปช่วย และนำกลับออกมาได้เพียงอาเต๊า ผู้เป็นบุตรชายของเล่าปี่ . . .
+หลังจากบุกตีจนทัพของเล่าปี่ถอยร่นไม่เป็นขบวน โจโฉที่ต้องการรวมแผ่นดินจีนให้เป็นหนึ่ง จึงวางแผนที่จะรวบรวมแผ่นดินทางใต้ของประเทศให้ได้ เพราะนี่คือโอกาสที่ดีที่สุดในยามที่ทัพของเล่าปี่กำลังอ่อนล้า และซุนกวนผู้เป็นผู้นำของดินแดนทางใต้ ก็ดูจะไม่ใช่นักรบที่แกร่งกล้าสามารถเท่าไรนัก และน่าจะเข้ามาสวามิภักดิ์มากกว่าจะต่อกรกับทัพอันยิ่งใหญ่ของโจโฉเสียมากกว่า . . .
+แต่ "ขงเบ้ง" กุนซือของเล่าปี่ อ่านหมากของโจโฉออก จึงไปเกลี้ยกล่อมซุนกวนให้จับอาวุธลุกขึ้นสู้กับโจโฉ ขงเบ้งเกลี้ยกล่อมซุนกวนสำเร็จ และร่วมวางแผนการศึกกับ "จิวยี่" แม่ทัพใหญ่ผู้มากความสามารถของซุกวน ที่มี "เสี่ยวเกี้ยว" นางในดวงใจของโจโฉเป็นภรรยา ซึ่งทำให้การศึกครั้งนี้มีนัยซ่อนเร้นเป็นศึกชิงนางของโจโฉ ที่ขนกำลังทหารนับล้าน พร้อมเรือสงครามนับหมื่นลำ บุกมายังตอนใต้ของจีน เพื่อจัดการกับทหาร และกองเรือเพียงไม่กี่หมื่นของของทัพเล่าปี่ และซุนกวน ที่มีขงเบ้งกับจิวยี่เป็นผู้นำ . . .
+จากหนังแอ็คชั่นยุคใหม่ Red Clift ถือเป็นงานที่น่าประหลาดใจของจอห์น วู เพราะนอกจากงานด้านโปรดัคชั่นของหนังจะใหญ่โตมากขึ้น ตัวเรื่องของสามก๊ก ก็เต็มไปด้วยเรื่องราวซับซ้อนมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องความคิดความอ่านของตัวละคร ที่นำมาสู่การต่อสู้ชิงไหวชิงพริบในแบบหักเหลี่ยมเฉือนคมกันตลอดเวลา แต่ถึงจะเป็นงานที่แปลกตา วูก็สามารถเล่าเรื่องหนึ่งในตอนที่เข้มข้น และสนุกที่สนุกของสามก๊กให้โลดแล่นบนจอได้อย่างหนักแน่น และจริงจัง โดยไม่เสียอรรถรสเรื่องราวที่เคยเรียงร้อยผ่านตัวอักษรได้อย่างสนุกสนานมาแล้ว . . .
+และก็เป็นเช่นเดียวกับ The Lord Of The Ring และ Troy คือวูไม่ได้เล่าเรื่องตามต้นฉบับในหนังสือแบบเป๊ะๆ หากเลือกที่จะตัด เลือกที่จะทอนเรื่องราว รวมทั้งเสริมแต่งอะไรหลายๆอย่างลงไป เพื่อให้ Red Clift มีความลงตัวในความเป็นหนังที่ต้องเล่าเรื่องให้จบ และสมบูรณ์ในเวลาที่จำกัด . . ที่น่าสังเกตสำหรับการหาเรื่องราวสามก๊กรับรู้เพิ่มเติม จะเห็นได้ว่าวูเลือกที่จะสร้างตัวละครในเรื่อง จากการใช้ประวัติศาสตร์ และวรรณกรรมมาผสมผสานรวมกัน . .
+รวมทั้งเลือกที่จะตีความตัวละคร หรือเหตุการณ์ในมุมมองใหม่ ซึ่งก็ทำให้ตัวละคร หรือเรื่องราวในเรื่อง มีความสมจริง มีความเป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดา เป็นมนุษย์เดินดินมากขึ้น โดยเฉพาะขงเบ้ง ที่หนังให้ภาพของการเป็นคนเจ้าความคิด และเป็นนักเจรจาต่อรองระดับชั้นยอด มากกว่าที่จะวางให้เป็นภาพเดียวกันกับในหนังสือ ที่มีลักษณะของผู้หยั่งรู้ดินฟ้า และมีคาถาอาคมไปโน่น . . .
+และยิ่งได้นักแสดงมากฝีมือ มารับบทด้วยแล้ว ต่างก็ทำให้เหล่าตัวละครมากมายแต่ละตัว สามารถเป็นตัวละครที่มาพร้อมกับความลึก และมีมิติที่สัมผัสจับต้องได้เลยทันที แม้หนังจะเปิดทางให้กับความเป็นมา หรือว่าปูพื้นของตัวละครแต่ละชีวิตนั้นไม่มากสักเท่าไหร่ ไม่ว่าจะเป็นซุนกวน ที่ "วางเจิ้น" ให้ภาพของผู้นำที่มีความสามารถ หากแต่ขาดความมั่นใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด หรือว่าจูล่ง ที่ให้ภาพของความภักดี และกล้าหาญ โดยที่ไม่ต้องอาศัยเวลามากมายในการแนะนำแต่อย่างใด . . .
+แล้วกับสองตัวเอก "จิวยี่ และขงเบ้ง" ทั้งเหลียงเฉาเหว่ย และทาเคชิ คาเนชิโร่ ก็ถือว่าสอบผ่านได้คะแนนนำสูงทั้งคู่ แม้รายแรกอาจจะดูแก่ไปสักหน่อยสำหรับบท แต่กับสิ่งที่ได้มาก็คือ การให้ภาพนักรบที่มีด้านความอ่อนไหวอยู่ในตัว เป็นคนที่ดูดีมีเมตตา หากแต่ถึงเวลาเหี้ยมโหด ก็เด็ดเดี่ยวเป็น ซึ่งนั่นเป็นภาพของจิวยี่ที่รู้จักกันดีทั้งจากในวรรณกรรม และจากที่นักประวัติศาสตร์ได้ทำการค้นคว้าเอาไว้ . .
+ส่วนรายหลัง จากที่เริ่มต้นดูเหมือนจะเป็นคนที่ดูเหยาะแหยะ และกรุ้มกริ่ม คาเนชิโร่ก็สามารถให้ภาพของขงเบ้งที่เป็นนักเจรจา และคนที่มีความรอบรู้อยู่ในตัวได้สำเร็จ เมื่อเวลาผ่านไปได้ไม่นาน . . ขณะที่กลุ่มตัวละครที่ไม่ต้องลงลึกอย่างกวนอู และเตียวหุย หนังก็ให้ภาพแคแร็คเตอร์ที่โดดเด่น และน่าจดจำเอาไว้ได้เป็นอย่างดี สมกับที่เป็นตัวละครสำคัญในเรื่องสามก๊ก . . .
+ขณะที่ฉากแอ็คชั่น และการต่อสู้ต่างๆ ก็ทำออกมาได้อย่างหนักแน่น จริงจัง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าพยายามหลีกเลี่ยงท่วงท่าการต่อสู้ประเภทเหินฟ้า ตีลังกาต่างๆ และหันไปเน้นความสมจริง ที่แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของพละกำลังมากกว่าวิชากำลังภายในแทน และกับการเดินทัพจัดทัพต่างๆ ตลอดจนการให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่อลังการของกองทัพ ซึ่งถือว่าเป็นเสน่ห์ของสามก๊ก ผู้กำกับวูก็ทำออกมาได้อย่างตื่นตา ตื่นใจ
+ไม่ว่าจะเป็นการสร้างภาพของกองทัพเรือของโจโฉอันยิ่งใหญ่ การเดินทัพเป็นรูปลิ่ม หรือว่าการต่อสู้ในค่ายกลต่างๆ ที่สะกดสายตา และสมจริงทั้งๆที่ไม่เคยเห็นอยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว หรือกระทั่งการตัดสลับการวางแผนของจิวยี่กับขงเบ้ง และโจโฉก็ทำให้ได้อารมณ์ของการต่อสู้วางแผนแบบชิงไหวชิงพริบ ดังเช่นที่บรรยายไว้ในวรรณกรรมอย่างกับถอดแบบตัวอักษรออกมายังไงยังงั้นเลย . . .
+กับจังหวะการเล่าเรื่อง วูเลือกที่จะให้เรื่องเป็นตัวพาคนดูเดินไปข้างหน้า ในแบบเดียวกับที่ The Lord Of The Rings ทำ ดังนั้นเหตุการณ์ทุกอย่างในเรื่องจึงไหลบ่าอย่างต่อเนื่อง และพอมารวมกับการนำเสนอที่ดูขึงขังด้วยแล้ว Red Clift เลยให้ความรู้สึกเหมือนกับเดินหน้าอัดคนดูอยู่ตลอดเวลา ขณะที่การตัดจบของภาคแรกก็ทำได้อย่างลงตัว เพราะนอกจากจะทำให้ได้ความรู้สึกที่น่าติดตามต่อแล้ว ก็ยังเป็นจุดผ่อนความรู้สึกคนดูมาได้ในระดับหนึ่งพอดี . . .
+หากที่จะดูขาดๆ เกินเลยไปบ้างสำหรับงานของวูเรื่องนี้ ก็คงจะไม่พ้นการปรับบท และเปลี่ยนแปลงแคแร็คเตอร์ของตัวละครบางตัว ที่ไม่ได้ให้ผลดีเช่นนั้นไปหมดทุกตัว ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ บทซุนฮูหยินของเจ้าเหว่ย ที่ออกจะดูก๋ากั๋นเกินลักษณะธรรมดาของหญิงจีนในยุคนั้น และกับการพยายามผ่อนความตึงของหนัง ด้วยการใช้อารมณ์ขันที่มีมาจากตัวละครตัวนี้ ก็ดูจะเป็นสิ่งที่ไม่ลงตัวกับเรื่องสักเท่าไหร่ จนกลายเป็นส่วนที่ดูล้นๆออกมาอยู่ไม่ใช่น้อย . .
+แต่หากไม่ได้คิดอะไรจริงจัง จุดที่ว่าก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องมีอะไรขำๆ และก็เป็นเพียงจุดเล็กๆในหนัง ด้วยความที่ในภาพรวมนั้น Red Clift พร้อมสรรพกับความยิ่งใหญ่ อลังการ และก็มาเพื่อให้ความสนุก และน่าติดตามไปพร้อมๆกันอยู่แล้ว . . .
+ให้ 3 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1617.html ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 23 November 2009 - 04:05 PM.