+เริ่มต้นเหมือนกับหนังขายสไตล์ ที่เน้นเรื่องของภาพมากกว่าเนื้อหา ให้ความสำคัญกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า มากกว่าสิ่งที่มองไม่เห็นที่อยู่ข้างใน แต่ในที่สุด 300 ภาพยนตร์ที่หลายๆคนคิดว่าเป็น
อนิเมชั่นตั้งแต่เห็นตัวอย่างในโรง ก็แสดงให้เห็นว่าในที่สุดแล้ว หากได้คนที่รู้จัก และทำเป็น . . หนังขายสไตล์ก็มีเนื้อหา หรือว่าความลึกซึ้งในตัวได้เหมือนกัน . . .
+แล้วกับการนำเสนอออกมาเป็นภาพที่ผ่านการจัดการของคอมพิวเตอร์ ซึ่งก็เป็นสไตล์ที่โดดเด่นนำมาของ 300 จนหลายๆคนหลงคิดว่าเป็นงานอนิเมชั่น อย่างที่บอกมาในตอนต้น ก็ทำให้ความรู้สึกในตอนที่ชม คล้ายๆกับการเปิดอ่านนิยายภาพ ซึ่งสอดคล้องเข้ากับที่มาของตัวหนัง ซึ่งเริ่มต้นจากการเป็นนิยายภาพของ "แฟรงค์ มิลเลอร์" ที่ได้รับอิทธิพลมาจากตำนานที่เล่าขานกันมานาน ถึงเรื่องราวการต่อสู้ระหว่างทหารชาวสปาร์ตัน 300 คน ภายใต้การนำของกษัตริย์ "ลีโอไนดาส" กับกองทัพจำนวนมหาศาลของเปอร์เซียที่มีกษัตริย์ "เซอร์ซีส" เป็นผู้นำ . . .
+หนังไม่ได้บอกเล่าเพียงแค่ฉากแอ็คชั่น ไม่ได้พูดถึงเพียงแค่การสู้รบของเหล่าชายฉกรรจ์เท่านั้น หากยังเติมอรรถรสทางด้านอื่นๆเข้ามา ส่งให้หนังมีมิติ มีความลึกมากกว่าที่หลายๆคนคิด และเป็นประสบการณ์ในการชมที่ดีกว่า Sky Captain and the World of Tomorrow ซึ่งมีเทคนิคการสร้างในรูปแบบเดียวกัน (หรือคล้ายคลึงกัน) เพราะงานของจู๊ด ลอว์ , กวินเนธ พัลโธรว์ และแองเจลิน่า โจลี่เรื่องนั้น เห็นได้ชัดเลยว่า แม้จะได้ในเรื่องของสไตล์ที่โดดเด่น ทว่าในส่วนของความเข้มข้นตลอดจนเรื่องราว และการนำเสนอนั้น ยังไปได้ไม่ไกลเลยเท่ากับที่เทคนิค และสไตล์มี . . .
+เมื่อถูกท้าทายโดยกองทัพเปอร์เซียเหยียบล้าน กษัตริย์ลีโอไนดาสตัดสินใจที่จะละเมิดกฎของสปาร์ตา ที่ห้ามเคลื่อนทัพในช่วงที่ต้องทำพิธีสำคัญ รวมทั้งปฏิเสธที่จะรับฟังคำพยากรณ์จากพวกนักบวชอีเฟอร์ ด้วยการนำกำลังทหารกล้าระดับหัวแถว 300 นาย ไปดักรอกองทัพเปอร์เซียที่ช่องเขาฮอกเกท ซึ่งเป็นจุดได้เปรียบทางภูมิประเทศที่ทำให้การเคลื่อนทัพจะถูกบีบให้เดินทางเข้ามา
ด้วยจำนวนไม่มาก . .
+ซึ่งกองกำลังมหาศาลของทัพเปอร์เซียจะไม่มีผลอะไรเลย เมื่อเจอกับสถานการณ์แบบนี้ . . ขณะที่ราชินีกอร์โก้เองก็พยายามเสนอยื่นญัตติให้สภาของสปาร์ต้า ตัดสินใจส่งกำลังไปช่วยสามีที่ต้องเจอกับศึกครั้งใหญ่ในชีวิต ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะโน้มน้าวจิตใจของบรรดาสมาชิกสภา โดยเฉพาะในยามที่มีคนทรยศแอบไปเข้ากับพวกเปอร์เซียเรียบร้อยแล้ว ลอบเร้นแฝงกายอยู่ในสภา . . .
+กองทัพเปอร์เซียที่มีทั้งกำลังมากมาย และทหารที่มีความสามารถหลากหลาย กลับต้องแพ้พ่ายคนเพียงหยิบมือของสปาร์ต้าไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ด้วยจำนวนคนที่น้อยกว่า และชัยภูมิที่ว่าได้เปรียบนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไร้จุดอ่อนเสมอไป คนเพียง 300 จะทนรับมือกับคนนับล้านไปได้สักกี่น้ำ . . ซึ่งความจริงกับการออกศึกครั้งนี้ บรรดาทหารหาญของสปาร์ต้าก็คงรู้ดีกันอยู่แล้วว่า บทสรุปของการต่อสู้นั้นอยู่ที่ไหน!!!
+หลังจากทำให้ Dawn Of The Dead ของจอร์จ เอ โรเมโร่กลับมามีชีวิตใหม่ในยุค 2000 ได้สำเร็จ "แซ็ค สไนเดอร์" ทำให้หนัง 300 ที่ถูกมองว่าเป็นหนังขาย "สไตล์" สามารถดูสนุกไปด้วยได้ ไม่ใช่แค่ตื่นตาตื่นใจไปกับภาพ ที่พอผ่านไปสักระยะเวลาหนึ่งก็ธรรมดา หมดความอึ้ง-ทึ่ง-เสียวแต่อย่างใด . . แม้จะไม่ได้ซับซ้อน หรือลึกซึ้งอะไรมากมาย แต่ก็ช่วยให้หนังมีความน่าติดตาม มีเนื้อ มีหนัง ไม่ใช่แค่เพลินไปกับภาพก็เท่านั้น . . .
+ถึงจะเน้นหนักไปที่ความเป็นหนังแอ็คชั่น และฉากของการต่อสู้ที่ดุเดือด และน่ากลัว แต่ 300 ก็เติมแบ็คกราวนด์ความลึกแก่ตัวละคร ที่ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับการกระทำเอาไว้ตั้งแต่ฉากเปิดเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการปูให้เห็นถึงความเป็นชายชาติ "นักรบ" ของชาวสปาร์ต้า ที่การตายในสนามรบคือเกียรติยศสูงสุดของชีวิต
+และแม้จะมีเวลาเพียงน้อยนิดในการสร้างอารมณ์ และความรู้สึกให้กับตัวละคร หรือสร้างความผูกพันระหว่างผู้ชมกับตัวละคร บทหนังที่สไนเดอร์เขียนร่วมกับเคิร์ท จอห์นสแตด และไมเคิล บี กอร์ดอน ก็ใช้ทุกวินาทีอันน้อยนิดในหนังอย่างมีค่า และมีพลังมากพอที่จะทำให้คนดู "รู้สึก" โดยไม่ทำให้หนังหลงทิศทางไปจากความเป็นหนัง "ผู้ชาย" และความเป็นหนังแอ็คชั่น . . .
+ประเด็นของเรื่องการเมือง และการทหารที่สอดแทรกเข้ามา ทำให้ภาพรวมของหนังไม่ได้มีแค่เรื่องการต่อสู้ หรือเรื่องของการศึกเท่านั้น หากยังมีประเด็นของความแตกต่างของคนที่เป็นนักสู้ กับคนไร้ทางสู้ที่นิยมเอาตัวรอด ให้ได้ติดตาม . . ซึ่งการกระทำของตัวละครต่างๆก็มีนัยแอบแฝง ที่สามารถเปรียบเทียบได้กับชีวิตโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะกับตัวละครเอฟิอัลทีส หรือกลุ่มของแด็กซอส ที่นำมาเปรียบกับผู้คนที่ดิ้นรนเอาตัวรอดในชีวิตประจำวันได้อย่าง
เหมาะเจาะทีเดียว . . .
+ที่ลืมไม่ได้เลยก็คือการแสดงที่เต็มไปด้วย "พลัง" ของนักแสดงแต่ละคน โดยเฉพาะ "เจอราร์ด บัทเลอร์" ที่แม้จะ
ปรากฎตัวอยู่ภายใต้หน้ากากเหล็กเกือบจะตลอดเวลา หากก็ยังแสดงความลึกทางอารมณ์ออกมาได้ ขณะที่ตัวละครอื่นๆ ซึ่งแม้จะไม่ใช่นักแสดงที่มีชื่อเสียงมากมายมารับบท แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณภาพทางด้านการแสดงจะด้อยค่าตามไปด้วย ไม่ว่าจะเป็น "ลีน่า ฮีดีย์" เจ้าของบทราชินีกอร์โก้ ตัวละครที่มีความซับซ้อนมากที่สุดในเรื่อง ผู้หญิงที่มีทั้งความกล้าหาญ และความเข้มแข็ง ในขณะเดียวกันก็มีความอ่อนโยนอยู่ข้างในตัว . .
+หรือ "เธอรอน" นักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวนำประโยชน์ของชาติ . . ที่น่าสังเกตก็คือ หากมองๆในภาพรวมจะเห็นว่าตัวละครส่วนใหญ่ มักจะมีการแสดงที่ดู "โอเวอร์" เกินไปไม่ใช่น้อย ซึ่งเข้าในว่าน่าจะเป็นความตั้งใจของผู้กำกับ โดยเฉพาะเมื่อมองไปถึงงานเทคนิคด้านภาพ ที่พยายามให้ความรู้สึกเหมือนกับการดู "นิยายภาพ" มากกว่าดูหนังนั่นเอง . . .
+องค์ประกอบในส่วนอื่นๆของหนัง ร่วมด้วยช่วยส่งให้ 300 ออกมาดูดีเข้าท่าอย่างที่เห็น ไม่ว่าจะเป็นการตัดต่อ รวมไปถึงดนตรีประกอบ ที่มาพร้อมๆกับดนตรีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นงานสกอร์ในแบบที่ทำให้นึกถึงงานของ "ฮานส์ ซิมเมอร์" เคยทำไว้ใน Gladiator หรือซาวนด์สไตล์ร็อคดุดัน ที่ช่วยกระตุ้นต่อมอะดรีนาลีนคนดูให้พลุ่งพล่านมากขึ้นในฉากแอ็คชั่น ที่คัทของภาพกับดนตรีนั้นแม็ทช์เข้ากันอย่างเหมาะเจาะอย่างกับงานมิวสิค วิดีโอเพลงฮาร์คอร์ยังไงยังงั้นเลย . .
+และกับอารมณ์ และความรู้สึกในมิติอื่นที่นอกเหนือไปจากความตื่นเต้น งานดนตรีเข้ามามีส่วนช่วยในตรงนี้ได้มาก เรียกได้ว่า "แซ็ค สไนเดอร์" ใช้ทุกอย่างที่มีอยู่ในมือให้ได้ประโยชน์อย่างสูงสุดเลยทีเดียว แม้อาจจะไม่ถึงกับซาบซึ้ง หรือประทับใจไปกับการเสียสละของตัวละครในหนังสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่สามารถจับติดอะไรได้เลยเมื่อหนังจบลง โดยเฉพาะในเรื่องความยิ่งใหญ่ของความเป็น "คน" และความเป็น "ลูกผู้ชาย"
+ขณะที่หลายๆคนพยายามใช้เทคนิคมาสร้างหนัง โดยที่พยายาม "โชว์" ของให้ได้มากถึงมากที่สุด เหมือนเน้นเสื้อมากกว่าสิ่งที่อยู่ข้างใน จนกลายเป็นได้แค่เสื้อที่หุ้มห่อหุ่นก็ไม่ปาน แต่กับ 300 นี่คือหนังที่น่าจะมาพร้อมกับความคิดที่ว่า เรื่องแบบไหนที่จะทำ ให้ใช้ "ของ" ที่มีอยู่ในมือมากที่สุด รวมทั้งต้องชัดเจนในสิ่งที่ตัวเองเป็น และใช่อย่างที่สุด . . .
+ภายใต้เสื้อที่ดูดีมีราคา คือร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่หุ่นที่ไร้ความวิญญาณรู้สึก นี่คือบทสรุปง่ายๆของหนังแอ็คชั่นเรื่องนี้ ที่เปรียบได้กับการเอา Troy มายำขยำรวมกับ Gladiator แล้วก็เติมการนำเสนอในแบบดิบๆ แต่ "เท่" ดูเก๋และ
มีสไตล์ในแบบเดียวกับ Sin City พร้อมเทคนิคงานสร้างแปลกตาแบบ Sky Captain and the World of Tomorrow ลง ไป . . ก็มีดี และน่าสนใจออกจะขนาดนี้ เหล่าคอหนังทั้งหลาย หากพลาดกันไป เสียดายแย่เลยนะ . . .
+ให้ 3 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1176.html ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 23 November 2009 - 04:39 PM.