`

Jump to content





รีวิวหนัง Blood Diamond - เทพบุตร เพชรสีเลือด


6 replies to this topic

#1 rbgel

    <อัศวินมาไค ยศกาโร่>

  • DGO Reporter
  • 6945 posts
  • Gender:Female

Posted 15 September 2008 - 05:34 PM

Blood Diamond - เทพบุตร เพชรสีเลือด


+จัดเป็นหนังที่มาพร้อมกับความตั้งใจ และเจตนาดีที่อยากจะเผยแพร่ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นในสังคมโลกออกมา โดยมีนักแสดงขายฝีมือ ระดับได้รับและแตะบันไดออสการ์มาแล้วถึง 3 คนเป็นประกัน ขณะที่ตัวผู้กำกับ "เอ็ดเวิร์ด
ซวิค" เอง ก็มีเครดิตที่เป็นที่น่าจดจำมากมายจากผลงานในอดีตไม่ว่าจะเป็น Courage Under Fire , Legend Of The Fall หรือว่าล่าสุดกับ The Last Samurai เมื่อ 4 ปีก่อน . . .


+แต่ความตั้งใจ เจตนา หรือว่าเครดิตที่ดีในอดีตนั้น การันตีคุณภาพในปัจจุบันได้ซะเมื่อไหร่!? หากจะว่าไป กับงานชิ้นนี้ยิ่งทำให้เห็นว่าผู้กำกับซวิคติดอยู่กับกรอบของเรื่อง และเหตุการณ์ของหนังที่ตัวเองนำเสนอแบบดิ้นไม่หลุด ซึ่งเป็นสูตรหนังแบบฉบับของซวิคเอง . . ขณะที่ในแง่ของความตื่นตา ตื่นใจ หรือตื่นเต้นลุ้นระทึก ตลอดจนการนำเสนอให้โลกรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในบางพื้นที่ของแผ่นดินนี้ Blood Diamond เองก็ทำได้ไม่ดีเท่าไหร่ . .


+สำหรับคนที่ดู "หนัง" มากกว่างานตลาดของฮอลลีวู้ด ที่รู้จักทั้ง Infernal Affairs และ The Departed ก็คงรู้สึกไม่ต่างกันว่า งานของซวิคชิ้นนี้ก็คือ หนังที่ "พยายาม" บอกเล่าสิ่งต่างๆแบบกล้าๆกลัวๆ . . ส่วนคนที่ดูมาแต่หนังฮอลลีวู้ดจ๋าๆประเภทที่ว่าตีหัวเข้าบ้านเป็นหลัก ไม่แปลกที่ Blood Diamond จะเป็นหนังยอดเยี่ยมแห่งปีในความรู้สึก . . .


+โซโลมอน แวนตี้ เป็นชาวประมงในเซียร่า ลีโอน ประเทศที่มีทรัพยากรล้ำค่าที่เรียกกันว่า "เพชร" เขามีครอบครัวที่อบอุ่น มี "เดีย" ลูกชายเรียนดีที่อยากเป็นหมอ เป็นความหวังสูงสุด และเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิต . . .

+แดนนี่ อาร์เชอร์ ทหารรับจ้างในโรดีเซีย (ชื่อในปัจจุบันคือ ซิมบับเว่) ทำงานให้กับบริษัทค้าเพชรรายใหญ่ของโลก โดยนำอาวุธแลกเป็นเพชรกับกลุ่มปฏิวัติของเซียร่า ลีโอน ก่อนจะนำเพชรข้ามแดนมาตีเป็นเพชรถูกกฎหมายที่ไลบีเรีย เพชรก็คือจุดมุ่งหมายเดียวในชีวิตของแดนนี่ . . .


+แล้วคนทั้งคู่ก็มาเจอกัน เมื่อหมู่บ้านของโซโลมอนถูกพวกปฏิวัติโจมตี แม้ครอบครัวจะหนีพ้น แต่ตัวเขาเองกลับถูกจับได้ และถูกกักไปเป็นทาสในเหมืองเพชรของพวกปฏิวัติ และได้พบเพชรสีชมพูน้ำหนักกว่า 100 กะรัต . . โซโลมอนซ่อนเอาไว้ก่อนจะถูกจับเมื่อฝ่ายรัฐบาลเข้าโจมตี ส่วนแดนนี่ก็ถูกจับระหว่างพยายามข้ามแดนไปไลบีเรีย ทั้งสองคนกลับมาเจอกันในคุก และแดนนี่ได้ยินเรื่องที่โซโลมอนพบเพชรเม็ดนั้น . . เมื่อพาตัวเองออกมา เขาตัดสินใจช่วยโซโลมอนเพื่อของที่มีค่ามากกว่า หากฝ่ายหลังไม่ยอมรับปาก . . .


+แต่เมื่อฟรีทาวน์ เมืองหลวงของโรดีเซียถูกพวกปฏิวัติบุก โซโลมอนตกลงช่วยแดนนี่ แลกกับการได้พบหน้าครอบครัว โดยที่ไม่รู้ว่าเดียถูกล้างสมอง จนกลายเป็นทหารเด็กของพวกปฏิวัติไปแล้ว . . ขณะที่แดนนี่เองก็จำใจต้องแลกข้อมูลเกี่ยวกับการค้าเพชรเถื่อนที่ตัวเองรู้ กับการหาช่องทางไปพบกับครอบครัวของโซโลมอนผ่านนักข่าวสาว "แม็ดดี้ โบเว่น" สามคน สามจุดมุ่งหมาย แต่ต้องมาจับมือร่วมกัน เพราะภารกิจที่เกี่ยวข้องกัน . . .


+หนังของซวิคยังคงมองโลกด้วยมุมมองในแง่ดี ที่ปัญหาทุกอย่างสามารถหาทางออกคลี่คลายได้ และนั่นก็ทำให้ Blood Diamond แตกต่างไปจากหนังหลายๆเรื่องที่หยิบเล่าเอาความจริงมาบอกกล่าว . . เรื่องราวที่ซวิคนำเสนอ สามารถจบลงได้ในแบบแฮปปี้ เอนดิ้ง ชื่นมื่นกันถ้วนหน้า ในขณะเดียวกันหนังก็ไม่มีจุดพลิกผัน หรือจุดหักมุมที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจ เอาแค่เพียงผ่านไปได้สัก ครึ่งชั่วโมงแรกของหนัง เชื่อว่าหลายๆคนก็คงเดาออกได้ถึงบทสรุปของหนังเรื่องนี้ได้เรียบร้อย . . .


+และสำหรับคอหนังที่ตามหนังของซวิคมาตลอด Blood Diamond ก็ไม่หลุดไปจากกรอบเดิมๆแบบที่คุ้นกันดีในหนังของเขาสักเท่าไหร่ ที่มักจะมีตัวละคร 3 คนเกี่ยวพันกันเป็น 3 เส้ามาตลอด ในขณะเดียวกัน ทั้งหมดด็กำลังดิ้นรนอยู่ในระบบที่ยิ่งใหญ่เกินตัว แบบเดียวกับใน The Last Samurai ก็คือตัวละครของทอม ครูซ-เคน วาตานาเบ้-ตัวละครฝ่ายหญิง-ระบบศักดินาโชกุน และซามูไร , Courage Under Fire ก็จะเป็นเดนเซล วอชิงตัน-เม็ก ไรอัน-ลู ไดมอนด์ ฟิลลิปส์-ข้อธรรมเนียมปฏิบัติของทหาร . .

+หรืออย่างใน The Seige ก็จะเป็นบรู๊ซ วิลลิส-เดนเซล วอชิงตัน-เอนเน็ทท์ เบนนิ่ง-กฎอัยการศึก ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามา ก็สะท้อนให้เห็นถึง "สูตรสำเร็จ" ซึ่งถือเป็นแบบพิมพ์ หรือมีลักษณะเฉพาะที่ตายตัว สำหรับตัวละครในหนังของซวิคก็ว่าได้ ซึ่งก็มีส่วนที่ทำให้หนังดูไม่ยาก หรือเกินการคาดเดาของผู้ชมแต่อย่างไร เพราะตัวละครทั้งหลายนั้น ต่างก็มากันตาม "สูตร" อยู่แล้ว . . .


+บทและการเล่าเรื่องของ Blood Diamond เอง ก็มาในทางเก่าๆ ชนิดที่เรียกว่าเชยมาแต่ไกลได้แบบไม่ตะขิดตะขวงใจแต่อย่างใด แม้จะเป็นความพยายามที่ดีสำหรับการเดินเรื่องที่ใช้การตีคู่กัน ของจุดมุ่งหมายของสองตัวละคร ที่แม้จะต่างกันในรูปลักษณ์ หากก็เหมือนกันในความรู้สึก นั่นคือ "เพชร กับลูก" รวมทั้งการหยอดประเด็นเรื่องของการค้าเพชรเถื่อนเข้ามา ที่ทำให้ผู้คนตั้งมากมายเสียเลือดเสียเนื้อ จนกลายมาเป็นเพชรเลือด กับเรื่องของทหารเด็กเข้ามา หากแต่ไปๆมาๆก็กลับกลายเป็นการหยิบจับประเด็นที่เป็นเรื่องผิวๆกับประเด็นแรก ที่ดูจะเป็นประเด็นหลักไปเสียนี่ . .


+หนังไม่ได้ให้ความรู้อะไรใหม่ และไม่สามารถลงลึกไปในระดับที่ทำให้รู้สึกได้ถึงความน่ากลัวของที่มาของ
เพชรเม็ดหนึ่งๆ ขณะที่กับประเด็นหลัง หนังก็พาคนดูซึมซับความโหดร้ายที่ผู้ใหญ่ทำกับเด็กได้แต่แค่บางเบา ชนิดที่ทำให้คนซึ่งเคยผ่านตากับหนังอย่าง Lord Of War หรือ City Of God ที่พูดถึงเรื่องคล้ายๆกัน หากแต่ทำออกมายังกับรายการ "หลุมดำ" หรือว่า "ย้อนรอย" ที่แลดูเข้มข้น จริงจังและหนักแน่น มองหนังอย่าง Blood Diamond ว่าเป็นได้แค่ "เรื่องเล่าเช้านี้" หรือว่า "คุยคุ้ยข่าว" ได้ยังไงยังงั้นเลย . . .


+ส่วนการเดินเรื่องที่เปรียบได้กับการเปรียบเปรยถึงสิ่งสำคัญในชีวิตของแต่ละคน เพชร กับลูก ความที่หนังเทน้ำหนักไปกับส่วนที่เป็นแอ็คชั่นค่อนข้างมาก ทำให้ความเป็นดราม่าของหนังก้าวไปไม่ถึงไหน และนั่นก็หมายความว่าหนังไม่สามารถสร้างความประทับใจไปได้พร้อมๆกัน . . และยิ่งบทสรุปต่างๆออกมาดูง่าย และพยายามให้เป็นแฮปปี้ เอนดิ้งอย่างที่เห็น ความน่าเชื่อถือในประเด็นข้างต้นของหนังก็อ่อนยวบยาบลงไปด้วยเช่นกัน . .

+เพราะหนังเลือกที่จะห่วงความรู้สึกของคนดู มากกว่าจะนำเสนอสิ่งที่ควรจะเป็นจริงๆ . . แถมในหลายๆช่วง "บท" เองก็ขาดความน่าเชื่อถือไปดื้อๆอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะการหาทางออกให้กับตัวละครในสถานการณ์ต่างๆที่ดูง่าย และออกจะจับแพะมาชนแกะอยู่ก็ตั้งหลายหน . . .


+สำหรับนักแสดงนำทั้งสามคน คงต้องบอกว่าไม่มีอะไรใหม่ หรือว่าต้องยกให้เป็นความดีความชอบเพิ่มเติมแต่อย่างไร ถือเป็นการแสดงตามมาตรฐาน ซึ่งถ้าจะย่อหย่อนลงไปบ้างก็เห็นจะเป็นเจนนิเฟอร์ คอนเนลลี่ ในบทนักข่าวสาวแม็ดดี้ ซึ่งหากว่ากันตามตรงบทแบบนี้ไม่ต้องเอามือระดับนี้มาเล่นก็ได้ เช่นเดียวกับลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ก็ขึ้นจอในมาดแบบเดียวกันกับที่เคยเห็นจาก The Departed ซึ่งก็เป็นบทในแบบที่นักแสดงหัวแถวของฮอลลีวู้ดเคยเล่นมาแล้วทั้งสิ้น ส่วนไจมอน ฮูนซู หากบทที่ได้รับลดลักษณะของความเกรี้ยวกราดที่ดูมากเกินไปลงบ้าง ก็น่าจะทำให้ภาพของโซโลมอน แวนดี้ ดูเป็นคุณพ่อที่น่าอบอุ่นมากกว่านี้ . . .


+อย่างที่เคยเกริ่นเอาไว้ข้างต้น สำหรับคนที่ไม่ได้ตามดูหนังฮอลลีวู้ด ชนิดพันธุ์แท้แบบว่างเมื่อไหร่เจอกัน และพอเจียดเวลาให้กับหนังเรื่องอื่นๆ ประเภทอื่นๆบ้าง Blood Diamond ก็คือหนังพอดูได้ ถึงจะดูตั้งใจแบบจงใจมากไปสักหน่อย แต่ถ้าเป็นใครสักคนที่ดูหนังบันเทิงแบบฮอลลีวู้ดเป็นประจำ สม่ำเสมอชนิดเอาตาย คงจะไม่ผิดที่จะชมว่านี่คือหนังหนักๆที่ว่ากันแบบจริงจัง และติดอันดับหนังยอดเยี่ยมแห่งปีแน่นอน . . .

+ให้ 2 ดาวครึ่งค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว) yoyo_55.gif yoyo_55.gif

+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1148.html ค่ะ


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


QUOTE
+ช่วยคอมเม้นต์ให้สักนิดนะคะ เพียงเพื่อ+
+เป็นกำลังใจให้กับผู้เขียน
+นำไปสู่การพัฒนาบทความชิ้นต่อไป


-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


+อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ

QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง


+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ

+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ

+ดูหนังให้สนุกนะคะ+

Edited by rbgel, 23 November 2009 - 07:59 PM.


#2 Zard

    DGO 2011

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 5521 posts
  • Gender:Male
  • Location:Bangkok, Thailand
  • Interests:Uncharted 3, Tommy Emmanuel, Joe Robinson

Posted 15 September 2008 - 06:16 PM

ขอบคุณน้องตูนสำหรับบทความนี้นะครับ เขียนได้ละเอียดดี ส่วนตัวให้ 2 ดาวละกันครับสำหรับหนังเรื่องนี้

#3 kikuntin

    บันทึกลับอสูรฟ้า เคล็ดวิชาอมตะ ตำนานกระบี่เมตไตร ม้วนภาพเทพยุทธ์

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 10921 posts
  • Gender:Male

Posted 16 September 2008 - 10:40 AM

เรื่องนี้ผมไม้ได้ดูเพราะว่าไม่ค่อยชอบแนวนี้ซักเท่าไหรนัก

#4 Brutal-Method

    เซียนเกม

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 6439 posts
  • Gender:Male

Posted 20 September 2008 - 02:36 AM

ผมว่าโอเคนะเรื่องนี้
ดูได้เพลินๆ

#5 MoDiFy

    Old SuanKuLarB 122

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 10860 posts
  • Gender:Male
  • Location:Bkk, Thailand

Posted 20 September 2008 - 03:20 AM

แต่สำหรับผม 1.5 พอครับเรื่องนี้
เสียดาย ลีโอนาโด๋ เล่นทั้งที

#6 secretagent

    ทำไมมันช่างเปราะบางเหลือเกิน

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 3406 posts
  • Gender:Male

Posted 03 October 2008 - 02:08 PM

เรื่องนี้ผมให้4ดาวครับ เป็นความชอบส่วนตัวล้วนๆ ไม่รู้เป็นไรนั่งดูเรื่องนี้แล้วน้ำตาไหลเองทุกที

#7 The Fool

    LaW GaRDeN

  • High Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 5362 posts
  • Gender:Male

Posted 09 December 2008 - 06:35 PM

4 ดาวเลยครับหนังอิงประวัติศาสตร์และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศที่นักกฎหมายไม่ควรพ
ลาด