0
Curse of the Golden Flower - ศึกโค่นบัลลังก์วังทอง
"One King , One Queen . . His Power , Her Rebellion"
"One King , One Queen . . His Power , Her Rebellion"
"A Queen's revenge will threaten an empire"
+ออกฉายหลังจาก The Banquet ของผู้กำกับ "เผิง เสี่ยวกัง" หนึ่งปี ทว่าหนังแอ็กชันกำลังภายในเรื่องที่สาม ของผู้กำกับ "จางอี้โหมว" เรื่องนี้ กลับมีนัยบางอย่างที่พ้องต้องกันอย่างประหลาด . . ขณะที่ใน The Banquet อดีตฮองเฮาอย่างจางซื่อยี่ พยายามทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้อำนาจมาครอบครอง รวมทั้งโอรสองค์โตของฮ่องเต้องค์ก่อน ซึ่งที่สุดแล้ว แม้จะได้ซึ่งอำนาจ แต่นางก็ต้องสูญเสียอะไรไปมากมาย กระทั่งชายที่นางรัก ขณะเดียวกันอำนาจที่ได้มา ก็อยู่กับนางแค่ประเดี๋ยวประด๋าว ซึ่งกับเรื่องราวใน Curse of the Golden Flower เองก็ไม่ต่างกัน ทุกอย่างล้วนพัวพันอยู่กับอำนาจ กิเลส ตัณหา และความรัก และก็จบลงด้วยโศกนาฎกรรม . . .
+หากจะต่างกันก็ตรงที่ ฮ่องเต้ใน Curse of the Golden Flower ก็คือคนที่มีอำนาจ และทุกอย่างอยู่ในมือ ซึ่งพยายามทำทุกอย่างเพื่อไม่ให้ตกไปอยู่ในมือใคร แม้ในที่สุดแล้ว จะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนโดดเดียว ที่ชอกช้ำที่สุดในโลกก็ตาม . . .
+คืนก่อนเทศกาลบูชาบรรพบุรุษและครอบครัว ให้ปราศจากภยันตราย หรือ "เทศกาลฉงหยวน" ฮ่องเต้ และองค์ชายรองที่ไปรบทัพจับศึกมา เร่งรีบสเด็จกลับมาถึงพระราชวัง เพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงาน . . แต่ถึงจะมีงานสำคัญที่บ่งบอกถึงความหมายของครอบครัว สภาพการณ์ต่างๆในพระราชวัง กลับมิได้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายของงานที่กำลังจะบังเกิดขึ้น . .
+เมื่อตัวฮ่องเต้เองก็วางยาทำลายระบบประสาทให้ฮ่องเฮาเสวยอยู่ทุกสองชั่วยาม โดยมีหมอหลวงประจำวังเป็นผู้จัดการ . . ส่วนองค์รัชทายาท หรือโอรสองค์โตของฮ่องเต้ซึ่งเป็นลูกติดมา ก็แอบคบชู้กับฮองเฮา ซึ่งเป็นแม่เลี้ยง . . ในขณะเดียวกันก็ยังมีความสัมพันธ์กับนางสนมคนสนิท ที่เป็นลูกสาวของหมอหลวงอีกด้วย แต่ไม่ว่าตัวเองจะร้ายกาจ ฟอนเฟะเพียงใด ทุกคนก็แสร้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น . . .
+เรื่องราวทุกอย่างเริ่มตึงเครียด เมื่อฮองเฮาทราบจากสายลับในสังกัดว่าตัวเองถูกวางยา ส่วนสายลับคนที่ว่า แท้จริงแล้วก็คือฮูหยินของหมอหลวง ที่มีบางอย่างพัวพันกับฮ่องเต้ . . เรื่องการลอบวางยาถูกเล่าต่อไปยังองค์ชายรอง ด้วยความโกรธแค้นจึงตัดสินใจจะโค่นราชบัลลังก์ เพื่อช่วยพระมารดา . . ส่วนสายลับของฮองเฮากลับถูกฮ่องเต้จับได้ แต่แทนที่จะสั่งลงโทษ พระองค์กลับส่งหมอหลวงไปปกครองเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากนครหลวงแทน ซึ่งหมายความว่านาง และลูกสาวจะต้องเดินทางตามติดสามีไปด้วย . . .
+ดูเหมือนว่าเรื่องทุกอย่างจะจบ หากแต่สิ่งที่เห็น ย่อมไม่ใช่สิ่งที่เป็น และงานเทศกาลฉงหยวนในครั้งนี้ ก็ได้บังเกิดสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความหมายของมันอย่างสุดขั้ว . .
+และ "อำนาจ" เมื่อได้มา หากจะรักษาไว้ ก็ต้องแลกด้วยสิ่งต่างๆมากมาย และในที่นี้ก็หมายถึง "ครอบครัว" ที่ต้องล่มสลาย ในเมื่อคนในครอบครัวเดียวกัน ต่างมัวเมาลุ่มหลง หรือยึดถือในสิ่งต่างๆมากจนเกินไป . . ฮ่องเต้ต้องการปกปักรักษาหน้าตา และอำนาจล้นฟ้าในมือ ยึดถือในความโกรธจนกลายเป็นความแค้น . . ฮองเฮาลุ่มหลงในความรัก และต้องการปกป้องตัวเอง . . องค์รัชทายาทมัวเมาในกามราคะ องค์ชายรองยึดมั่นในความกตัญญูต่อมารดา . . หมอหลวงต้องการความก้าวหน้าทางหน้าที่การงาน ฮูหยินต้องการล้างแค้นฮ่องเต้ . .
+ความต้องการของทุกคน ที่ทำให้เกิดการกระทำต่างๆ ล้วนส่งผลเกี่ยวพันกับคนรอบข้าง กระทั่งกับคนที่ไม่น่าจะได้รับผลร้ายอะไรอย่าง "โอรสองค์เล็ก" ที่มักจะถูกกันไปเป็นคนนอกเสมอ หรือว่าลูกสาวของหมอหลวงที่บังเอิญหลงรักในตัวองค์ใหญืใหญ่เช่นกัน . . ทุกคนที่อยู่ในวังวนนี้ ล้วนหนีไม่พ้น . . .
+ผู้กำกับ จางอี้ โหมว เล่าเรื่องของ Curse of the Golden Flower ที่ดัดแปลงมาจากบทละครจีนเรื่อง Thunderstorm ได้อย่างสนุก และน่าสนใจ ซึ่งแม้จะเป็นบทละครจีนแต่จะว่าไปประเด็นที่ได้เห็นใน Curse of the Golden Flower ก็คือสิ่งที่เป็นสากล เมื่อพูดถึงเรื่องของการเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ เป็นใครสักคนที่เต็มล้นไปด้วยอำนาจในมือ แต่กลับว่างเปล่าคนรอบข้างกาย กระทั่งขาดไร้ซึ่งคนที่ตัวเองไว้ใจ ไม่ต่างกับการอยู่ในสภาวะ "ยิ่งสูงยิ่งหนาว" ต้องเผชิญกับการสูญเสียในสิ่งที่ตัวเองรัก เผชิญกับการหักหลังของคนที่ไว้ใจ รวมไปถึงต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดระแวง . . .
+บทของ Curse of the Golden Flower เต็มไปด้วยการเสียดสีเย้ยหยันภาพแห่งความสุข ซึ่งแท้จริงแล้วสิ่งที่เป็นกลับไม่ใช่อย่างที่เห็นในภาพ . . บทกลอนก่อนบอกโมงยามที่พร่ำพรรณาถึงเรื่องราวความสมัครสมาน ความรัก ความสุขของผู้คน กลับไม่ใช่สิ่งที่บังเกิดขึ้นจริงๆในพระราชวัง ทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นการสร้างภาพให้ดูดี
+ซึ่งเห็นได้ชัดหลังจากการรบช่วงท้ายเรื่องเสร็จสิ้น ซากศพก็ถูกยกออกในทันที และน้ำก็ถูกนำมาชะล้างคาวเลือดที่ไหลนองเต็มพร่างพื้น จากนั้นดอกเบญจมาศนับร้อย นับพัน ก็ถูกนำมาจัดวางเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น โต๊ะเสวยถูกจัดเตรียมทั้งๆที่มีคนในครอบครัวเพิ่งจากไป และคนร่วมโต๊ะต่างก็มีความตั้งใจที่จะประหัตประหารกันและกัน . . .
+เบื้องหลังภาพที่งดงาม เบื้องหลังบทกลอนขับขานถึงความสุข ใช่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จะเป็นเช่นอย่างที่ได้ยิน ได้เห็นซะเมื่อไหร่ . . .
+กับความงดงาม ความสวยสดของเครื่องแต่งกาย หรือกระทั่งกับตัวพระราชวังก็เช่นกัน ไม่ได้หมายความว่าผู้สวมใส่ และผู้ที่อาศัยอยู่จะเต็มไปด้วยจิตใจที่งดงาม เช่นสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ภายนอกหรือก็ไม่ . . ท่วงทีที่ดูเปิดเผยโออ่า ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นคนไม่มีลับลมคมในแต่อย่างใด . . .
+ยิ่งได้ทีมนักแสดงชั้นเยี่ยมมาช่วยเสริม Curse of the Golden Flower จึงกลายเป็นความเข้มข้นที่ถึงรสในอารมณ์ของดราม่ามากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการแสดงที่หนักแน่นของกงลี่ ที่เป็นศูนย์กลางของหนังมาตลอด จนดูท่าว่าจะข่มโจวเหวินฟะเสียมิดมาทั้งเรื่อง ทว่าในฉากสุดท้ายที่โต๊ะเสวย ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียงที่พูดออกมา (สำหรับท่านที่ชมในเสียงต้นฉบับภาษาจีน) สายตา และท่าทางที่แสดงออกมา เห็นได้ชัดว่าโจวเหวินฟะเอาคืนได้ครบทั้งต้นทั้งดอก ถือเป็นฉากที่ต้องซื้อกันเลยก็ว่าได้ . . .
+ออกจะน่าแปลกใจอยู่บ้าง ที่หลังจากหลังความหวือหวา พิสดาร และสวยงามมาโดยตลอดสำหรับฉากแอ็คชั่น ทั้งใน Hero และ House Of Flying Daggers แต่ใน แต่ Curse of the Golden Flower จางอี้โหมวกลับเน้นไปความดิบ และโหดแทน แต่ถ้ามองเห็นถึงนัยที่พยายามนำเสนอมาตลอดทั้งเรื่อง ยิ่งฉากรบรุนแรง ร้ายกาจ และโหดเหี้ยมเพียงใด ก็ยิ่งเห็นขัดกับท่าทีของตัวละคร ความงดงามของชุดที่ใส่ และสถานที่มากยิ่งขึ้น ซึ่งล้วนแต่ขับเน้นความเหี้ยมโหดร้ายกาจในจิตใจคน ให้เด่นชัดในความรู้สึก และลึกกว่าที่เห็นมากนัก . . .
+ขณะที่ The Banquet ของเผิง เสี่ยวกัง นำเด่นมาด้วยสไตล์ และลีลา จนดูกลายเป็นหนังท่ามาก เมื่อเทียบกับ Curse of the Golden Flower ที่หากแต่ว่ากันตรงๆ เน้นๆ และซุกซ่อนนัยต่างๆเอาไว้ในที่ๆสามารถเหลือบเห็นได้เด่นชัดถนัดถนี่ แต่หนังทั้งสองเรื่องของผู้กำกับดังจากแผ่นดินใหญ่ ต่างก็พูดถึงสิ่งที่ไม่ต่างกัน . . .
+"อำนาจ" ที่หลายๆคนอยากได้ แม้ในที่สุดแล้วอาจจะได้ลิ้มรสมันเพียงชั่วครู่ชั่วยาม หรืออาจจะต้องกลายเป็นคนโดดเดี่ยวที่ชอกช้ำที่สุดในโลก ซึ่งไม่ว่าจะลงเอย ณ จุดใด ล้วนแล้วแต่ไม่เคยให้ความสุขที่แท้จริงเลยแม้แต่น้อย แล้วยังจะห่วงหา ไขว่คว้ากันไปทำไม . . .
+ถึงแม้อาจทำให้ใครต่อใครผิดหวัง หากหมายมั่นจะได้ชมฉากแอ็คชั่นตื่นตาตื่นใจ หรือพบปรัชญายิ่งใหญ่แบบใน Hero เพราะใน Curse of the Golden Flower เล่าถึงประเด็นเล็กๆภายในโครงสร้างอันใหญ่โต ของเรื่องราวในครอบครัวๆหนึ่งเท่านั้นเอง ที่ถูกความมืดหม่นในจิตใจที่มีทั้งความเกลียดชัง ความแค้น ความริษยา เข้าครอบงำ และกัดกร่อนความเป็นคนจนแทบไม่เหลือหรอ . .
+และสำหรับคอหนังที่ชื่นชอบหนังหนักเนื้อหา แฝงวาระซ่อนเร้น และเต็มไปด้วยการเชือดเฉือนบทกันอย่างดุเด็ดเผ็ดมัน อย่างได้ "เนื้อ" และได้ "หนัง" Curse of the Golden Flower จัดเป็นหนังระดับคุณภาพที่
"ห้ามพลาด" เป็นอย่างยิ่งค่ะ . . .
+ให้ 3 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.sonyclassics.com/curseofthegold...wer/index2.html + http://www.sonyclassics.com/curseofthegoldenflower/ ค่ะ
QUOTE
+ขอเก็บค่าอ่านคนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้นจ้า+
+ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+ +
เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+ ++อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ
QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
+ดูหนังให้สนุกนะคะ+
Edited by rbgel, 24 November 2009 - 07:00 PM.
