+แม้จะไม่ใช่งานที่เยี่ยมยอดสักเท่าไหร่นัก แต่กับ The Day After Tomorrow ผลงานชิ้นก่อนหน้านี้ของผู้กำกับ "โรแลนด์ เอ็มเมอริช" ก็ยังได้ชื่อว่ามาพร้อมกับเทคนิคพิเศษที่น่าตื่นตาตื่นใจ ในขณะเดียวกันก็ยังกระตุ้นให้หลายๆคนได้รู้สึกถึงภัยในระดับหายนะ ที่เป็นผลมาจาก "ภาวะโลกร้อน"
+แต่กับผลงานเรื่องล่าสุดอย่าง 10,000 B.C. แม้มองในมุมดีที่อาจต้องพยายามมองกันอย่างเต็มที่ หนังเรื่องนี้อาจจะพยายามกระตุ้นให้คนรู้สึกถึงการเจริญเติบโตทางวิวัฒนาการของ
มนุษย์ในแต่ละยุค แต่ละสมัย ซึ่งเอาเข้าจริงๆแล้วก็เป็นเพียงแค่การพยายามมองแบบในแง่ดีเต็มที่แบบสุดโต่ง ชนิดไม่ลืมหูลืมตา . . เพราะเอาเข้าจริงๆ 10,000 B.C. เป็นได้ก็แค่เพียงหนังเพื่อความบันเทิงในอารมณ์ฉาบฉวยแบบตีหัวเข้าบ้าน ที่แทบจะไม่มีอะไรให้นึกถึง หรือชวนจดจำยามเดินออกจากโรงเลยแม้แต่น้อย . . .
+แม้กระทั่งกับงานเทคนิคพิเศษที่เป็นจุดขาย สเปเชียล เอฟเฟ็คท์ที่เห็นใน 10,000 B.C. ก็ไม่ได้มีอะไรที่น่าประทับใจ หรือทำให้ตื่นตาตื่นใจเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับงานเก่าๆของเอมเมอริชเอง ไม่ว่าจะเป็น TheDay After Tomorrow หรือว่า Independence Day ที่ปะหราโปรยอยู่บนใบปิดเรียกผู้ชม . .
+เพราะฉะนั้นคงแทบไม่ต้องพูดถึงเนื้อหา หรือว่าพล็อต เพราะสำหรับคนที่ตามดูงานของโรแลนด์ เอมเมอริชมาตลอด ก็คงพอนึกออกว่างานที่ดีที่สุดที่เป็นผลงานของเขาก็คือ หนังที่ออกฉายแบบไม่ได้สร้างปรากฎการณ์เปรี้ยงปร้างอะไรอย่าง Thirteen Floor ซึ่งแสดงให้เห็นถึงจินตนาการ และวิสัยทัศน์ในการเป็นคนทำหนังที่มี "สมอง" มากกว่างานระดับหรูภาพของเขาอีกหลายต่อหลายเรื่องด้วยซ้ำ . . .
+เนื้อหาของ 10,000 B.C. จับความถึงชนเผ่านักล่าสัตว์ ที่ชื่อว่า "ยากาห์ล" ที่วันหนึ่งขณะออกล่าสัตว์ก็ได้พบกับเด็กหญิงตาสีฟ้า นั่งร่ำไห้กอดศพแม่ ที่ถูกสังหารโดยเผ่านักรบปีศาจจากอีกเทือกเขาหนึ่ง . . และเมื่อนำกลับมายังเผ่า เด็กหญิงตาสีฟ้าก็นำมาซึ่งคำทำนายที่ว่า แผ่นดินยากาห์ลจะถูกรุกรานโดยนักรบปีศาจ แต่จะมีผู้นำคนใหม่ปรากฎ
ตัวขึ้นมา เพื่อช่วยให้ยากาห์ลรอดพ้นหายนะ และนำพาพวกเขาก้าวไปสู่อีกอารยธรรมหนึ่ง . . .
+เด็กหญิงเติบโตขึ้นเป็นหญิงสาวชื่อ "เอโวเล็ท" ที่อยู่ในการดูแลของแม่หมอประจำเผ่า และมีใจให้กับ "ดีเลห์" เด็กหนุ่มที่พ่อซึ่งเคยเป็นผู้ครอบครองหอกขาว กลับละทิ้งหอก และหนีออกจากเผ่าไปตั้งแต่ยังเด็ก ทำให้เขาถูกดูแคลนจากชาวเผ่าคนอื่นๆ . . .
+หลังจากการล่าตัวแมนเนคครั้งสุดท้าย นักรบปีศาจก็มารุกรานยากาห์ลจริงๆตามคำทำนาย บรรดาชนเผ่าที่มีเรี่ยวแรงพอทำงานได้ ต่างถูกจับตัวไปจนหมด รวมไปถึงเอโวเล็ทที่เป็นที่ต้องตาต้องใจของหัวหน้านักรบ . . ดีเลห์กับทิคทิค ผู้ถือครองหอกขาว และผู้รอดชีวิตอีกไม่กี่คนของยากาห์ลจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อไปช่วยเอโวเล็ท . .
+และการเดินทางครั้งนี้ ก็ทำให้พวกเขาได้เผชิญกับอันตรายรอบด้านต่างๆมากมาย ได้ต่อสู้กับไดโนเสาร์ ได้ผจญกับเสือเขี้ยวดาบ ได้ตะลุยข้ามผ่านทะเลทราย ที่เป็นภูมิประเทศซึ่งต่างไปจากที่พวกเขาเคยเจออย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังได้พบกับวิวัฒนาการต่างๆของโลก ไม่ว่าจะเป็นการเพาะปลูก การสร้างปิรามิด รวมไปถึงได้พบกับชนเผ่าต่างๆ ที่มีรูปแบบการใช้ภาษา และวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แตกต่างออกไป . . .
+เหมือนจะมาพร้อมกับเรื่องราว และสถานการณ์ที่น่าจะเต็มไปด้วยความตื่นเต้น น่าติดตาม แต่ที่สุดแล้ว 10,000 B.C. ก็ได้แค่เหมือน และที่เหมือนกันจริงๆกับหนังเรื่องนี้ของโรแลนด์
เอมเมอริช ก็คือช่างบังเอิญที่ 10,000 B.C. ดันมีเนื้อหาเรื่องราวคล้ายๆกับ Apocalypto ของผู้กำกับเมล กิ๊บสันมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นตัวเรื่องราวที่เกิดขึ้นในยุคก่อนประวัติศาสตร์เหมือนๆกัน หรือแม้แต่ภารกิจของตัวละครหลัก . .
+เพียงแต่หนังของเมล กิ๊บสันนั้นมาพร้อมกับความขึงขัง และจริงจัง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของการนำเสนอ หรือเกร็ดข้อมูลในหนัง ที่แม้เอาเข้าจริงๆก็ยังมั่วอยู่เยอะ โดยเฉพาะความจริงที่ว่าถึง 2 ชนเผ่าซึ่งเป็นศัตรูกันในเรื่อง หากตามประวัติศาสตร์แล้วกลับอยู่ต่างยุคกัน . . .
+แต่ข้อผิดพลาดของ Apocalypto ก็กลายเป็นขนมหวาน เพราะกับจากที่เห็นใน 10,000 B.C. ข้อมูลต่างๆในหนังเข้าขั้นเละเทะเลยทีเดียว เพราะกับสัตว์ต่างยุค สายพันธุ์ต่างสมัย อารยธรรมต่างกาลเวลา ทว่ากลับมาอยู่ในช่วงเวลาเดียวกันได้อย่างน่าอัศจรรย์ . . .
+ไม่ว่าจะเป็นช้างแมมมอธ (ที่ในหนังเรียกแมนเนค) และเสือเขี้ยวดาบจากยุคน้ำแข็ง ที่หากว่าตามความเป็นจริงยุคนั้น มนุษย์อย่างเราๆยังไม่เป็นตัวเป็นตนเลยด้วยซ้ำ เพราะหากจะมีเผ่าพันธุ์ในสายตระกูลโฮโมเซเปี้ยนเกิดขึ้น มันก็จะต้องเป็นพวกมนุษย์ถ้ำ หรืออย่างใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น "บิ๊กฟุ้ต" หรือมนุษย์ปักกิ่ง . .
+แถมยังมีไดโนเสาร์ที่มีลักษณะคล้ายๆ กับนก ซึ่งเป็นสายพันธุ์สุดท้ายของสัตว์ดึกดำบรรพ์ชนิดนี้อีกต่างหาก . . ไหนจะชนเผ่าในแอฟริกาที่มีภาษาพูด มีการทำเกษตรกรรม การเพาะปลูก ซึ่งยังไงก็ไม่มีทางเกิดขึ้นในยุคเดียวกับที่มีแมมมอธ , เสือเขี้ยวดาบ หรือไดโนเสาร์ดังที่ปรากฎในเรื่องแน่ๆ และที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว ปิรามิดไม่มีทางที่จะเกิดพร้อมกับเผ่าพันธุ์ทั้งหลายตามที่เห็นในเรื่องได้ . . .
+หากจะนับ Van Helsing ที่เคยยำมิตรสัตว์ประหลาด และจับแพะชนแกะมาโม้ได้แบบระเนระนาดมาแล้ว กับ 10,000 B.C. นี่หนังทำได้ถึงขั้นเป็นโจ๊กร้อนๆ เลยก็ว่าได้ . . และหากจะมองกันในแง่ดีแบบหกล้มหน้าแข้งซิบๆ
หน่อย อย่างน้อยก็แค่ขอความบันเทิง จะเอาความสมจริงสมจังอะไรนัก . . กับหนัง 10,000 B.C. ที่ว่าก็ดูจะด้อยไปซะทุกด้าน เพราะขณะที่ถึงแม้ Apocalypto จะดูมั่ว แต่ทว่าหนังก็ยังดูดุเดือด และเข้มข้นน่าติดตาม . .
+แต่กับ 10,000 B.C. นี่เป็นเรื่องตรงกันข้าม แถมยังแสดงให้เห็นถึงทักษะในการเล่าเรื่องที่ไม่มากนักของเอมเมอ
ริชได้เป็นอย่างดี ด้วยความที่ตัวหนังเองขาดชั้นเชิงในการเดินเรื่องอย่างเห็นได้ชัด . . เอมเมอริชเล่าเรื่องของตัวเองออกมาแบบทื่อๆ ไม่มีจุดพลิกผัน หรือจุดหักมุมให้ผู้ชมได้ลุ้น เรื่องราวต่างๆจึงเดาได้ไม่ยากตั้งแต่ต้นเรื่อง กระทั่งเซอร์ไพรส์ในตอนท้ายของเรื่องเทพผู้สร้างปิรามิด ก็ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจอะไร เพราะต่างก็มีทฤษฎีต่างๆมากมายเคยบอกกล่าวเอาไว้แล้ว . . .
+ครั้นจะมาพึ่งงานเทคนิคด้านภาพตื่นตาตื่นใจแบบที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วใน The Day After Tomorrow ก็ยิ่งเห็นได้ชัดเลยว่า ในช่วงเวลาที่เว้นช่วงไปหลังจากหนังเรื่องนั้น งานเอฟเฟ็คท์พิเศษพาคนดูไปได้ไกลขนาดไหน และหลายๆเรื่องก็มาพร้อมกับการเล่าเรื่องที่แข็งแรงหนักแน่นมากกว่า 10,000 B.C. ตั้งมากมาย . .
+คงไม่ต้องบอกอะไรว่านี่ก็คือหนังเพื่อความบันเทิง!? ที่ไม่มีอะไรให้ติดใจเลยแม้แต่น้อย ข้อมูลผิดพลาดขั้นใหญ่หลวง การเล่าเรื่องที่ไม่สามารถสร้างความตื่นเต้น หรือชวนติดตามได้ สไตล์ของภาพ หรืองานเอฟเฟ็คท์ที่เร้าใจของผู้ชมไม่สำเร็จ . . ถือเป็นงานที่น่าผิดหวังอีกเรื่องหนึ่งไม่ว่าจะมองในแง่ไหน . . .
+ยกเว้นจะมองว่านี่คือหนังที่ทำให้เห็นถึงความเป็นมาของโลกมนุษย์ ว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาบ้างในยุคก่อนเก่า หรือแสดงให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจของชาวโลกว่าทำอะไรได้บ้าง ก็อาจจะช่วยให้เพลินใจได้นิดหน่อย . . ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ที่จะทำใจให้มองได้อย่างที่ว่ามาแน่นอน . . .
+ให้ 2 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.nangdee.com/title/html/m1416.html ค่ะ
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 01 December 2009 - 03:57 PM.