`

Jump to content





รีวิวหนัง Hard Boiled - ทะลักจุดแตก


1 reply to this topic

#1 rbgel

    <อัศวินมาไค ยศกาโร่>

  • DGO Reporter
  • 6945 posts
  • Gender:Female

Posted 25 July 2008 - 07:27 PM

Hard Boiled - ทะลักจุดแตก


"As a cop, he has brains, brawn, and an instinct to kill"

+การเป็นผู้กำกับหนังแอ็คชั่นนั้น อาจจะได้เปรียบกว่านักนำหนังแนวอื่นๆอยู่เหมือนกัน ตรงที่คนทำหนังหนังแอ็คชั่นมีทางเลือกสำหรับหนังของตัวเองได้สองขยัก . . ขยักแรกก็คือ ถ้าเป็นคนทำหนังมือถึง สามารถทำหนังออกมาได้บู๊ดุเดือดถึงใจพระเดชพระคุณคนดูจริงๆ แล้วละก็ ความสำเร็จไม่มีทางหนีจากมือไปไหนได้ . .

+แต่นั่นก็เรียกได้ว่าเป็นแค่พื้นฐานของคนทำหนังแอ็คชั่น เพราะถ้าจะทำหนังแนวนี้แบบให้ดีดี แล้วก็ให้ประทับใจคนดูหนังละก็ สิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้เลยก็คือในแง่ของเนื้อหาสาระ ที่ชี้นำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ และสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ ตรงนี้เองที่ถือว่าเป็นขยักที่สอง . . .


+และอย่างที่กล่าวมาในข้างต้นแล้วว่า ผู้กำกับหนังคนไหนมือดีจริงละก็นะ ต้องจับเอาทั้งสองขยักนั่นล่ะมารวมกัน และเกลี่ยอารมณ์ให้กลมกลืน เนียนเนื้อเนียนตามากเท่าไหร่ ก็มีสิทธิ์เป็นที่น่าจับตา และขึ้นแท่นเป็นผู้กำกับหนังบู๊ระดับแนวหน้าได้เช่นกัน . . .

+และจุดที่ได้เปรียบของนักทำหนังแนวนี้ก็คือ ถ้าหากทำหนังขยักแรกออกมาได้ดี ก็เท่ากับรอดตัวไป แล้วถ้าทำหนังต่อมาถึงขยักที่สองได้ นั่นยิ่งไปได้สวย ผิดกับผู้กำกับที่ทำหนังแนวอื่นๆอย่างอย่างรัก หรือหนังชีวิต ซึ่งถ้าทำหนังให้ออกมาโรแมนติกไม่ได้ ทำหนังให้ออกมาเป็นดราม่า รันทด หดหู่ไม่ได้ ก็คงไม่ต้องหยิบมาพูดถึงกันอีกเลยให้เสียเวล่ำเวลา . . .


+กับ Hard Boiled ของผู้กำกับ "จอห์น วู" นี่ก็ถือเป็นความสำเร็จในแบบเดียวกับหนังที่ผ่านมาของวู ในฐานะคนทำหนังแอ็คชั่นก็คือ วูทำหนังบู๊ออกมาได้ครบถ้วนทั้งสองขยัก แล้วก็ทำออกมาได้ดีด้วยกันทั้งคู่ . . ขณะที่หนังอย่าง Hard Boiled นั้น ก็คงต้องถือว่า ผู้กำกับวูทำขยักแรกคือทำหนังให้ออกมาบู๊แบบเน้นๆ เนื้อๆ ได้ค่อนข้างจะถึงแก่น และสะอารมณ์ของคนดู แม้ว่าจะมีบางส่วนยืดๆหนืดๆไปบ้างก็ตาม


+ขณะที่ขยักที่สองคือเรื่องเกี่ยวกับชีวิตที่เป็นเนื้อหาสาระของหนังนั้น งานชิ้นนี้ของวู ดูเหมือนจะทำได้ไม่เข้มข้น จริงจังเท่ากับหนังเรื่องก่อนๆอย่าง A Better Tomorrow . . แต่มองจากภาพรวม ก็ต้องบอกว่ากับ Hard Boiled วูทำออกมาเป็นหนังบู๊ได้ครบเครื่องเอาการ ซึ่งแค่นี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับคนดูที่ชอบหนังตลาด เพลินๆ คุ้มค่า คุ้มเวลา แต่ในแง่ของสาระแล้ว อาจจะได้ไม่ถึงใจนัก . . .


+พล็อตของ Hard Boiled เองก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ดีไม่ดีก็ออกจะคุ้นหูคุ้นตานักดูหนังแอ็กชั่นประเภทตำรวจจับผู้ร้าย ที่มีมาให้ดูกันไม่รู้เท่าไหร่ งานนี้โจวเหวินฟะรับบทเป็น "เทียน" นายตำรวจมือปราบ ประเภทแนวหน้าในด้านการทำวิสามัญฆาตกรรมผู้ร้ายทั้งหลาย และงานที่เขาเฝ้าตามติดแบบกัดติดไม่ปล่อยมานาน ก็คืองานกวาดล้างขบวนการค้าอาวุธสงคราม ที่งานนี้ทำเอาตำรวจคู่หูของเทียนมีอันต้องถูกคนร้ายยิงตายมาแล้ว . .


+ส่วนเหลียงเฉาเหว่ย ที่เคยร่วมงานกับจอห์น วูมาแล้วครั้งหนึ่งใน Bullet In The Head (กอดคอกันไว้ อย่าให้ใครเจาะกระโหลก) มาแสดงเป็น "หลาง" ตำรวจลับที่ปลอมตัวเป็นมือปืนเข้าไปแทรกซึมคลุกคลีหาข่าววงในของบรรดานักค้าอาวุธสง
ครามเหล่านี้ . . .

+หนังเอาตัวละครสองคนนี้มาผูกเป็นปม เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา โดยให้ทั้งคู่เริ่มต้นจากการเป็นฝ่ายเดียวกันที่ต้องมายืนอยู่ตรงข้ามกัน (เทียนนั้นไม่รู้เบาะแสของเหลียงมาก่อน) และหลังจากที่ความจริงค่อยๆเปิดเผยออกมา ทั้งสองคนก็เลยสวมวิญญาณตำรวจเกินร้อย ไล่ตามจับคนร้ายแบบยังๆก็ไม่ยอมปล่อยให้รอดมือ . . .


+โจวเหวินฟะยังคงขึ้นจอด้วยมาดเดิมๆแบบที่นักดูหนังต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี ซึ่งไม่ว่าจะแสดงหนังเรื่องไหน โจวเหวินฟะก็ยังคงเป็นโจวเหวินฟะอยู่อย่างครบถ้วน แต่อย่างไรก็ตาม ก็ต้องยอมรับกันว่าที่คอหนังบู๊ติดอกติดใจบทบาทของโจวเหวินฟะนั้น ก็เพราะติดใจจากสิ่งที่เคยเห็นกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไรนี่แหล่ะ และจะว่ากันไปแล้วในบรรดาดาราหนังบู๊ฮ่องกงนั้น ก็ดูจะมีโจวเหวินฟะนี่แหล่ะที่แสดงได้เข้าท่าเข้าทาง ดูดีมีชีวิตชีวากว่าดาราชาติเดียวกันคนไหนๆซะอีก จะเรียกว่าแสดงได้ไม่ผิดหวังและเป็นที่รักของคนดูก็ว่าได้ . . .


+แต่บทที่ค่อนข้างจะเด่นในหนังเรื่องนี้ เป็นของพระเอกเหลียงเฉาเหว่ย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้กำกับวู ที่เขียนบทหนังเอง ตั้งใจส่ง และดันเหลียงเฉาเหว่ยอย่างเต็มที่ จากบทตำรวจที่ต้องปิดบังตัวเอง เข้าไปคลุกคลีอยู่ในแวดวงของมิจฉาชีพ แล้วก็ถูกบีบคั้นจากจิตสึกนึกของตัวเอง เพราะการที่ต้องมาเป็นชีวิตที่ไม่เป็นอะไรเลย จะเป็นตำรวจก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ร้ายก็ไม่เชิงอีก แถมชีวิตส่วนตัวก็ยังต้องอยู่คนเดียว ว้าเหว่เดียวดาย หาใครเป็นที่ปรึกษาใกล้ชิดก็ไม่ได้ . .


+คนที่ต้องมีชีวิตแบบนี้นั้น ค่อนข้างจะเป็นคนที่น่าสงสารเอามากๆ ซึ่งก็คล้ายๆกับที่ตัวละครของโจวเหวินฟะถามตำรวจรุ่นน้องคนนี้ว่า ไอ้งานที่กำลังทำแบบลับๆล่อๆ อยู่นี้น่ะ มันมีประโยชน์ต่อชีวิตของตัวเองสักแค่ไหน แล้วถ้าหากเห็นแก่ชีวิตของตัวเองบ้างละก็ น่าที่จะรีบๆ ถอนตัวเองออกไปซะให้ไวๆ . . .


+บทผู้ร้ายในหนังของวูแต่ละเรื่องค่อนข้างจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน บางคนก็จัดอยู่ในประเภทเหี้ยมจนกระทั่งมอม้าทนอยู่ไม่ได้ เลยวิ่งเตลิดหายไปไหนไม่รู้ แต่ผู้ร้ายบางคนก็เหี้ยมแบบมีเหตุมีผล จะฆ่ากันตายสักทีก็จะเล่นกันอยู่แต่ในแวดวง ไม่ยอมให้ประชาชนคนบริสุทธิ์ต้องพลอยถูกลูกหลงตามไปด้วยแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ . . ซึ่งผู้ร้ายประเภทหลังนี่อาจจะเรียกว่าเป็นตัวละครที่ค่อนข้างจะมีอะไรที่คลาสสิคไม่
ใช่น้อย ซึ่งก็คล้ายๆกับตัวละครที่ตี้หลุงเคยแสดงมาแล้วจาก A Better Tomorrow หรือ "โหด เลว ดี" นั่นแหล่ะ . . .


+บทหนังเน้นให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างสองตำรวจ เทียนกับหลาง ได้ค่อนข้างจะแจ่มชัด แสดงให้เห็นถึงความเจนจัด และเชี่ยวชาญของผู้กำกับวู ว่ารู้ว่าควรจะต้องทำอะไรบ้าง แต่หากมองลงไปในความลึกซึ้งกินใจแล้ว ดูเหมือนว่าวูยังจับตรงนี้ได้ไม่ค่อยมั่นนัก แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นเข้าใจว่า งานนี้วูคงจะเน้นหนักเฉพาะขยักที่หนึ่ง คือมาเน้นความเป็นหนังบู๊มากกว่าจะมาเน้นความเป็นชีวิต ขายความเป็นดราม่า . . .

+ถึงยังดูคล่อง และลื่นไหล แต่ทว่าก็ยังรู้สึกสะดุดได้จากรอยโหว่ที่หนังทำตกหล่นไว้ ก็คือบทตัวมือปืนของพ่อค้าอาวุธ ที่ทำท่าว่าจะมีอะไรดีๆ แต่แล้วก้ไม่ได้ถูกหยิบยกขึ้นมาให้เด่นมากกว่าที่เห็นเป็นอยู่ ทั้งนี้ก็เพราะแค่ตัวพระเอกสองคน ก็แทบจะเฉลี่ยบทให้หนักหนาเต็มเรื่อง เต็มเวลาอยู่แล้ว . . และส่วนที่ทำลายบรรยากาศของเรื่องมากที่สุด เห็นจะเป็นนายใหญ่พ่อค้าอาวุธ (รับบทโดยแอนโทนี่ หว่อง) ที่ดูโหดจนเกินเหตุ แลดูออกจะน่านำคาญมากกว่าจะเป็นตัวสร้างสีสันให้กับหนัง . . .


+จอห์น วูทำหนังเรื่องนี้ออกมาตามสูตรหนังแอ็คชั่นสมัยใหม่ทุกกระบิ คือจะยังไงๆ ก็จะต้องมีฉากแอ็คชั่นใหญ่ๆ 3 ฉาก เริ่มต้นหนึ่งฉาก ตอนกลางๆเรื่องหนึ่งฉาก กับตอนปิดท้ายไคลแม็กซ์เรื่องอีกหนึ่งฉาก ซึ่งสูตรทำนองนี้เห็นได้ชัดๆจากหนังแอ็คชั่นชุด Leathal Weapon ทั้ง 4 ภาค . .

+ผู้กำกับวูยังคงรักษามาตรฐานการทำหนังแอ็คชั่นของตัวเองไว้ได้อย่างครบถ้วนเหมือน
เดิม คือทำออกมาแล้วสะใจคนดู โดยเฉพาะฉากบู๊ช่วงต้นเรื่องกับกลางเรื่อง ที่วูหยิบเอาเทคนิคสโลว์-โมชั่นมาใช้ตัดต่อ สอดแทรกได้แบบมีจังหวะจะโคน . . .


+ในขณะที่ฉากบู๊ใหญ่ๆ สองฉากแรกนำเสนอออกมาได้อย่างเข้าท่า ฉากไคลแม็กซ์ของเรื่องกลับเป็นตัวดึงอารมณ์ของคนดูให้ชงักลงหนึ่งก้าว ปัญหาของฉากนี้น่าจะอยู่ตรงที่ความพยายามที่จะยัดเยียดใส่ความรุนแรงจนเกินเหตุเข้า
ไป ซึ่งดูจะไม่ค่อยมีเหตุผลสักเท่าไรนัก กับการที่ผู้ร้ายต้องมาไล่ยิงคนเจ็บทั้งหลายในโรงพยาบาล จนตายเกลื่อนเป็นใบไม้ร่วงแบบนั้น . .

+และฉากดวลกันของเหลียงเฉาเหว่ยกับมือปืนตาเดียวก็ออกจะยืดเย้อรุ่มร่ามไปสักหน่อย สู้กันนานแบบนี้ทั้งๆ ที่ถือปืนครบมือทั้งคู่ น่าจะเปลี่ยนจากปืนมาเป็นดาบหรือกระบี่ แล้วทิ่มแทงกันแบบหนังกำลังภายในคงจะเก๋อยู่ไม่ใช่น้อย เพราะจากที่วิ่งไล่ยิงทะลุหน้าต่างกันนั่น ดูๆ ไปแล้วก็ไม่ต่างไปจากหนังกำลังภายในที่ฟันกันจากห้องโน้นทะลุไปห้องนี้สักเท่าไหร่ . . .


+หากมองข้ามในบางจุดที่ไม่ค่อยจะเข้าท่าของบทหนังไปแล้ว ก็ต้องยอมรับว่าในรายละเอียดบางอย่างของหนังนั้น คนเขียนบทแทรกนัยที่น่าสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน อย่างฉากที่สารวัตรเข้าไปทำวันทยาหัตถ์ ทำความเคารพกับหนึ่งในสี่ศพของผู้ร้ายที่ถูกยิงตาย ก็ใช้เป็นฉากที่สื่อความหมายที่ชัดเจนว่าคนที่ตายคนนั้น แท้ที่จริงก็คือตำรวจลับอีกคนหนึ่ง ที่ต้องมาตายเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตำรวจฝ่ายเดียวกัน

+เรียกได้ว่าชีวิตของคนที่เป็นตำรวจลับนั้นเสมือนอยู่บนคมหอกดาบทั้งจากฝ่ายผู้ร้าย หรือแม้แต่ตำรวจด้วยกันเอง หรือเรื่องฝีมือยิงปืนของโจวเหวินฟะ ที่บทหนังปูเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าระดับไหน แล้วก็เอาตรงนี้มาใช้ในฉากสุดท้ายในแบบที่ผู้ชมยอมรับได้ . . .


+หนังของจอห์น วูนั้น ค่อนข้างจะมีกลิ่นอายของความเป็นสากล หรือพูดกันแบบเข้าใจง่ายๆก็ต้องบอกว่าหนังของวูนั้นทำออกมาได้ใกล้เคียงกับหนังฝรั่ง
ฮอลลีวู้ดมากๆเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด ที่จะมีผู้กำกับชาวต่างชาติหยิบเอาพล็อตหนัง และสไตล์ของวูไปแตกย่อยเป็นหนังแอ็คชั่นต่างๆอีกมากมายมาให้เราได้ดูกัน


+ซึ่งถึงแม้จะมีผู้แสดงเป็นฝรั่ง แต่เวลาถึงฉากบู๊ ก็ไม่แคล้วจะต้องมีท่ากระโดดลอยตัวยิง , ถือปืนคู่ , เอาปืนจ่อหน้ากันหรือไถลตัวเองลงจากบันได พร้อมกับเหนี่ยวไกปืนใส่ฝ่ายตรงข้าม ซึ่งฉากแอ็คชั่นแบบนี้ ดูยังไงๆมันก็มีอารมณ์ความเป็นจีนอยู่มากๆเลยทีเดียว ซึ่งตรงนี้นับว่าสไตล์เฉพาะตัวของวู มีอิทธิพลต่อหนังแอ็คชั่นตะวันตกยุคใหม่อยู่ไม่ใช่น้อย

+คนจีนจะแต่งตัวเป็นฝรั่ง ยังไงมันก็ยังเป็นคนจีนอยู่ดี ตรงนี้น่าคิด ก็เหมือนกันคนไทยนั่นแหล่ะ จะแต่งตัวเป็นฝรั่งยังไง มันก็ต้องเป็นคนไทยอยู่ดี และถ้าปฏิเสธตรงนี้ไม่ได้ ก็น่าที่จะใฝ่ใจค้นหาว่า แล้วความเป็นไทยที่ว่านั้นน่ะเนื้อหาสาระที่แท้จริงนั้นมันเป็นยังไงแน่ . .

+ปิดท้ายกันกับ Hard Boiled ก็ถือว่าเป็นหนังบู๊ที่ยังคงรักษาความเป็นจอห์น วูเอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แต่ความสมบูรณ์ลงตัวนั้น ดูจะหย่อนลงไปสักหน่อย ส่วนคอหนังที่อยากจะใฝ่หาสาระ สัจธรรมของชีวิตที่อยู่บนความตายบนปลายกระบอกปืนของผู้กำกับคนนี้ อาจจะไม่ค่อยสมหวังสักเท่าไหร่ . .

+เอาเป็นว่าตอนดูหนังอย่าตั้งความหวังมากจนเกินไป และลืมๆ กฏแห่งความเป็นจริงทั้งหลายไปซะ แล้วคุณๆ จะสนุกกับหนังของจอห์น วูได้อย่างสบายอุราเจ้าค่ะ

+ให้ 2 ดาวครึ่งค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว) yoyo_55.gif yoyo_11.gif

+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.criterionforum.org/DVD-review/h...on-collection/8 ค่ะ


QUOTE
+ขอเก็บค่าอ่านคนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้นจ้า+
+ yoyo_55.gifเป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+yoyo_55.gif +


+อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ

QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง


+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ

+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ


+ดูหนังให้สนุกนะคะ+

Edited by rbgel, 07 December 2009 - 03:02 PM.


#2 Big Boss

    นักเล่นเกมระดับสูงชั้นที่ 3

  • Royal Executive Members
  • PipPipPipPipPipPipPipPipPipPip
  • 1422 posts

Posted 28 July 2008 - 01:32 AM

หนังเรื่องนี้สมัยเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตอนผมยังอยู่ชั้น ปวช.เลย ได้มีโอกาสเข้าไปดูในโรงหนังรามาตรงสามย่าน (เดี๋ยวนี้เจ๊งไปแล้ววว)

ที่ผมเข้าไปดู เพราะชอบผลงานและฝีมือกำกับของ ผู้กำกับท่านนี้มาก (เดี๋ยวนี้ก็ยังชอบอยู่เพิ่งได้ดูสามก๊กมา !!! ) หนังของเฮียแก ตัวละครแต่ละตัวจะมีมิติที่ต่างกัน ชอบการสื่ออารมณ์ทางสายตาของตัวละครในหนังของเฮียแกทุกเรื่องเลย (หรือว่าผมคิดไปเองน๊า ) โดยเฉพาะเรื่องนี้ผมชอบบทบาทของ"เหลียงเฉาเหว่ย" บทบาทของตัวละครที่แกเล่นนี่ เล่นได้ยากมาก แต่พูดถึงเฮียโจวฯ นี่ แกเหมาะที่จะเล่นหนังของจอห์น วู มากกว่านะ 555 เห็นหลัง ๆ เฮียโจวไปเล่นหนังฮอลลีวู๊ด ก็ไม่ค่อยเด่น ไม่ค่อยดังเท่าไหร่นะ (ตามความรู้สึกของผม)

ตอนนั้นหลังจากที่ดูหนังเรื่องนี้จบ ตอนที่ออกจากโรง ผมยังรู้สึกว่า หนังเรื่องนี้เป็นหนังแอคชั่นยิงกัน ที่สมบูรณ์แบบ เรื่องนึงเลยทีเดียว แต่เมื่อไม่นานได้มีโอกาสซื้อแผ่นหนังเรื่องนี้มาดู ผมกลับรู้สึกเฉย ๆ ..... จำได้ว่า หนังเรื่องนี้ เป็นหนังที่ จอห์นวู กำกับเรื่องนี้ทิ้งทวนเป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนที่จะไปกำกับหนังฮอลลีวู๊ด ต่อไป

ที่ว่ามาเป็นความชอบส่วนตัวของผมนะครับ ชอบหนังสไตล์แบบนี้ ยกเว้นเรื่องเดียวหนังของจอห์น วู ที่ผมไม่ชอบเลยคือ " Hard Target " เพราะดูไม่ค่อยเข้ากับสไตล์ของหนังฝรั่งเลย หลังจากนั้นผมก็ชอบหนังของเฮียแกมาตลอด