+ยุทธจักรเป็นเรื่องของบุณคุณกับความแค้น และบุญคุณกับความแค้นก็คือธรรมชาติของมนุษย์ เพราะฉะนั้นแล้ว เมื่อบุญคุณกับความแค้นไม่อาจที่จะแยกออกจากชีวิตมนุษย์ จอมยุทธจึงไม่อาจที่จะแยกออกจากแวงวงยุทธจักรได้เช่นกัน . . ตรงนี้กระมังที่เป็นจุดสำคัญของหนังเดชคัมภีร์เทวดา 2 และบทเพลงเย้ยยุทธจักรจึงเป็นบทเพลงที่ยังหาจอมยุทธคนใดร้องจนจบครบถ้วนกระบวนความ
ไม่ได้ . . .
+ว่ากันตามตรงแล้ว เดชคัมภีร์เทวดา 2 มีอะไรหลายๆอย่างที่คล้ายคลึงกับภาคแรก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ก็ว่าได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ต้องยอมรับว่า เหล้าเก่าในขวดใหม่นี้สามารถปรุงรสชาติให้เข้มข้นมากขึ้นกว่าภาคแรกพอดู และปรัชญาชีวิตที่สะท้อนออกมาจากคาวเลือดและซากศพ ก็ให้ภาพพจน์ที่ชัดเจนแจ่มแจ้งในหัวใจของคนดู โดยที่ไม่จำเป็นจะต้องไปสรรหาคำใดๆ มาอธิบายประกอบ . . .
+เดชคัมภีร์เทวดา 2 สานความต่อเนื่องเชื่อมโยงมาจากภาคแรก เหล่าตัวละครที่เหลือจากภาคแรกต่างกลับมาร่วมแสดงกันอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์หัวซานที่ตั้งใจจะล้างมือจากยุทธภพ เนื่องจากพบความจริงว่า ยุทธจักรและการแสวงหาอำนาจนั้น มีแต่ความเลวร้ายกาจ ทำให้อาจารย์ถึงกับคิดสังหารศิษย์ให้สิ้นซาก หรือแม้แต่สาวงามชาวเขาเผ่าแม้ว ธิดาของประมุขพรรคสุริยัน-จันทรา ผู้เป็นที่หมายปองของพระเอกอย่าง "เล่งฮู้ชง"
+โครงเรื่องของหนัง ก็ค่อนข้างจะคุ้นหูคุ้นตาคอนิยายกำลังภายในชั้นดี ว่าด้วยเรื่องของการแย่งชิงอำนาจ เพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ในแผ่นดินที่ไม่มีวันสิ้นสุดยุติ ตราบใดที่โลกนี้ยังยึดครองด้วยคน และการแย่งชิงอำนาจนั้นย่อมมีความโหดเหี้ยมไร้ศีลธรรมเคลือบแฝงอยู่ และเมื่อใดที่ใครก็ตามได้ครองอำนาจ ความสูญเสียจึงกลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้สำหรับบุคคลทั้งหลายที่เลือก
ยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม . .
+และก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใด เมื่อประมุขพรรคสุริยัน-จันทราคนเก่าก่อนกลับคืนสู่อำนาจ และที่สำคัญ ความเลวร้ายของประมุขพรรคทั้งเก่าและใหม่ ก็ใช่จะน้อยหน้ากันซะเมื่อไหร่ . . .
+อีกประเด็นหนึ่งที่หนังนำเสนอออกมาให้เห็นอย่างชัดเจนก็คือ ในโลกนี้ไม่มีใครที่ได้อะไรมาเปล่าๆ การจะได้อะไรมาเป็นของตัวเองสักอย่างนั้น จะต้องมีสิ่งใดมาแลกเปลี่ยน ยิ่งปรารถนาของล้ำค่ามากมาย หรือต้องการอำนาจวาสนา สิ่งที่ต้องใช้เป็นการแลกเปลี่ยนนั้น ก็ยิ่งจะต้องเป็นสิ่งที่มีค่ามากยิ่งขึ้นเท่านั้นเป็นเงาตามตัว . . หลายครั้งที่คนผู้ไต่เต้าขึ้นไปจนถึงจุดสุดยอด คนเหล่านี้จะพบว่าตนต้องสูญเสียเพื่อนสนิท มิตรสหาย และคนที่จริงใจกับเขาไปจนหมดสิ้น . .
+หรืออย่างยอดเคล็ดวิชาในคัมภีร์เทวดาที่เหล่าจอมยุทธยอมเอาชีวิตเข้าแลกนั้น แม้จะเป็นสุดยอดวิชาอันสูงส่ง ที่ทำให้คนที่ได้ฝึกเรียนกลายเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งได้อย่างไม่ยากเย็น แต่สิ่งที่ต้องสูญเสียไปเนื่องจากความทะยานอยากในการฝึกวิชานั้น ก็เป็นสิ่งที่มีความหมายมากที่สุดแล้วของการเกิดมาเป็นลูกผู้ชาย . . .
+หากจะว่าไปแล้ว อะไรเล่าคือสิ่งที่มนุษย์แสวงหามาตลอด ไม่ใช่อำนาจวาสนานำพา ไม่ใช่ความร่ำรวยอุดมทรัพย์ หากแต่เป็นสิ่งธรรมดาที่ไม่อาจตีค่า ประเมินราคาออกมาเป็นทรัพย์สินเงินทองได้ นั่นก็คือความรัก และมิตรภาพบริสุทธิ์ ต้องการรู้จักพบพานใครสักคน ที่เพียงแค่มองตาก็อาจรู้ซึ้งเข้าไปถึงความจริงที่ฝังลึกอยู่ในขั้วหัวใจ . .
+แต่สิ่งเหล่านี้ มิอาจหาได้ในแวดวงยุทธจักร และในบางครั้งแม้จะหาได้ แต่ก็ไม่อาจไขว่คว้าให้มาอยู่กับตัวตลอดไปได้เช่นกัน . . เพราะยุทธจักรมีแต่เรื่องของบุญคุณกับความแค้น . . .
+เดชคัมภีร์เทวดา 2 ถือได้ว่าเป็นการหยิบจับเอาเรื่องราวเกี่ยวกับนิยายกำลังภายใน มาผสมผสานกับสเปเชียล
เอฟเฟ็คต์สมัยใหม่ได้อย่างลงตัว และแนบเนียนอยู่ไม่ใช่น้อย ซึ่งก็ทำให้สิ่งที่เคยแต่เป็นแค่ตัวหนังสือบรรยายบนหน้ากระดาษ กลายมาเป็นภาพ
เคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นได้จริงบนจออย่างสมบูรณ์แบบ แล้วก็เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกอย่างที่ได้เคยจินตนาการไว้ ถือได้ว่างานชิ้นนี้เป็นพัฒนาการ
ขั้นสำคัญของการสร้างหนังกำลังภายในของฮ่องกงเลยก็ว่าได้ . . .
+แต่เอาเข้าจริงๆ ก็ยังรู้สึกได้ถึงรอยโหว่บางอย่างที่หนังได้ทำตกหล่นไว้ ถึงจะไม่มากไม่มายขนาดสะดุดล้มคว่ำหัวขมำก็ตามที ก็เห็นจะเป็นจังหวะของหนัง ที่ดูเหมือนว่าจะถูกเร่งจนรวดเร็วเกินจำเป็น และก็คงเป็นในลักษณะเช่นนี้เกือบตลอดทั้งเรื่อง มองดูแล้วน่าจะเป็นเพราะเหตุผลสองประการ
+อย่างแรกเลยก็คือเป็นนิสัยของคนทำหนังฮ่องกง ที่ชอบทำหนังหนังเหมือนกับนั่งรถด่วน ซึ่งก็ไม่รู้จะเร่งร้อนรีบดำเนินเรื่องไปถึงไหน (เชื่อว่าคอหนังกำลังภายในคงเข้าใจดี) อีกประการหนึ่งก็คือ อาจจะเป็นไปได้ที่การตัดต่ออันหวือหวา ฉึบฉับ วูบวาบนั้น ช่วยกลบบังความรุ่มร่ามของงานเอ็ฟเฟ็คต์ (ที่อาจจะมี) ไม่ให้คนดูหนังจับได้ก็เป็นได้ . . .
+ผู้กำกับเฉิงเสี่ยวตงเปิดเรื่องโดยกล่าวถึงกองทัพญี่ปุ่น ที่มาให้การสนับสนุนพรรคสุริยัน-จันทรา ในการลุกฮือขึ้นแข็งข้อกับผู้ที่กุมอำนาจในการปกครองของจีน ซึ่งไปๆมาๆ ดูเหมือนว่าการกล่าวอ้างถึงกองทัพซามูไรนั้น กลายเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือยเกินความจำเป็นสำหรับหนังไป เพราะในเนื้อเรื่องก็ไม่ได้เน้นบทบาท และความสำคัญของกองทัพญี่ปุ่นสักเท่าไรนัก . .
+ผลต่อเนื่องจากการเดินเรื่องอย่างรวดเร็วนี่เอง ที่ทำให้หนังไม่สามารถที่จะแนะนำตัวละครต่างๆให้คนดูได้รู้จักตั้งแต่ตอนเริ่มต้นได้
เท่าที่ควร (หนังเปลี่ยนตัวแสดงจากภาคแรกเกือบทั้งหมด) จริงๆแล้วประเด็นนี้ก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสของหนัง
เสียหายอะไรมากนัก เพียงแต่ว่า หากมีการแนะนำกันอย่างเป็นกิจลักษณะแล้วละก็ อะไรต่อมิอะไรในหนังอาจจะดูชัดเจน และสมบูรณ์มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้ . . .
+หนังใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายตลอดทั้งเรื่อง ทำให้ภาพที่ออกมาดูบิดๆแปลกตาพอสมควร และในการจัดองค์ประกอบของภาพ ดูเหมือนเฉิงเสี่ยวตงจะเน้นโฟกัสให้แน่นๆ ล้นๆเต็มเฟรมซะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งไม่รู้ว่าจะเกี่ยวพันกับการเปลี่ยนตัวพระเอกจากแซม ฮุย ที่เคยแสดงในภาคแรก มาเป็นหลี่เหลียนเจี๋ยในภาค 2 หรือเปล่า!?
+ซึ่งจะว่าไปแล้ว ถึงจะมีฝีมือทางด้านกังฟูอันยอดเยี่ยมมาทดแทน แต่ต้องยอมรับว่าหลี่เหลียนเจี๋ยเองยังห่างชั้นจากแซม ฮุยอยู่หลายก้าว โดยเฉพาะภาพความเป็นจอมยุทธเจ้าสำราญ ผู้ไม่นำพากับเรื่องราวยุทธจักร และเรื่องความสง่างาม ซึ่งแซม ฮุยทำหน้าที่ตรงนี้ในหนังภาคแรกได้ดีกว่าอย่างเห็นได้ชัด . . .
+หลินชิงเสีย นางเอกเก่า ดาวค้างฟ้าจากเกาะไต้หวัน ได้รับบทที่เด่นเอามากๆ และเปิดโอกาสให้เธอได้โชว์ความสามารถทางการแสดงของเธออย่างเต็มที่ กับบทประมุขพรรคสุริยัน-จันทราคนใหม่ "บูรพาไม่แพ้ ตงฟางปุ๊ป้าย"
หลินชิงเสียให้การแสดงที่หนักแน่น สง่างาม มากเสน่ห์ แต่ดูลึกลับ
+ฉากที่เห็นเด่นชัดที่สุดคือฉากที่เธอพบกับพระเอกครั้งแรกในทะเล แม้จะเป็นจอมยุทธระดับฝีมือสูงส่งหากแต่ใจโหดเหี้ยม ทว่าแววตาที่เธอมองพระเอกนั้น ผู้ชมมองเห็นถึงความปฏิพัทธ์ที่มีต่อชายหนุ่มแปลกหน้าคนนั้นได้อย่างชัดเจน . . ฉากนี้จึงถือเป็นหนึ่งในการแสดงที่แข็งแรงที่สุดของหนังอย่างไม่ต้องสงสัย . . .
+ดูหนังกระบี่เย้ยยุทธจักร-เดชคัมภีร์เทวดาของฉีเคอะแล้ว ทำให้นึกถึงสูตรสำเร็จขึ้นมาได้อีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ หนังแอ็คชั่นถ้าต้องการทำออกมาให้ดูดี มีระดับ ได้บรรยากาศของความคลาสสิคละก็ ต้องทำหนังให้ออกมามีบรรยากาศของความโรแมนติกผสมอยู่ด้วย และเมื่อมองย้อนกลับไปยังหนังแอ็คชั่นที่ได้รับการกล่าวขวัญถึงแม้ทุกวันนี้ ก็ล้วนแล้วแต่มีกลิ่นไอโรแมนติคกรุ่นพรมอยู่ทั้งสิ้น . . .
+มาถึงตรงนี้แล้ว หากอนาคตข้างหน้า ใครสักคนที่เคยบอกว่าจะไม่รับตำแหน่งหน้าที่ใหญ่โต แล้ววันดีคืนดีก็กลับคำหันมารับตำแหน่งที่มีคนประเคนให้ ก็เห็นจะต้องทำใจ แล้วก็คงจะต้องทำความเข้าใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น . .
+เพราะตราบใดที่มนุษย์ยังสลัดไม่พ้นกับคำว่าบุญคุณและความแค้นแล้วละก็ โอกาสที่จะลงจากหลังเสือ แล้วจัดการอัดเสือสักเปรี้ยง หรือโอกาสที่จะล้างมือจากแวดวงยุทธจักร หันไปมีชีวิตอย่างสงบสุข เห็นทีจะเป็นเพียงแค่ความฝัน ที่คงจะไม่มีทางเป็นจริงแน่นอน . .
+ชีวิตคนก็อย่างนี้แหล่ะนะ ขอแค่เพียงความเข้าใจกับทุกๆเรื่อง และไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นหาคำตอบ ให้กับทุกๆเรื่องหรอกค่ะ!! ก็สามารถยิ้มเยาะ เย้ยยุทธจักรได้สบายๆ ดังใจปรารถนาแล้ว!!
+ให้ 3 ดาวค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://mihk2002.wordpress.com/2008/02/16/s...ching-siu-tung/
2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
Edited by rbgel, 07 December 2009 - 05:03 PM.