"All the power in the universe can't change destiny"
+หากเมื่อครั้งที่ Pitch Black ออกฉาย แล้วมีใครมาบอกว่าหนังแอ็คชั่นไซไฟ ผสมอารมณ์ตื่นเต้นแบบหนังเขย่าขวัญทุนต่ำเรื่องนี้ จะมีภาคต่อที่มาพร้อมกับทุนสร้างมหาศาลในแบบของหนังบล็อคบัสเตอร์ ออกฉายในอีกหลายปีต่อมา คนๆนั้นก็ต้องถูกมองว่าเพี้ยนเป็นแน่ . . .
+แต่ที่สุดแล้วคนเพี้ยนก็คือคนชนะ เพราะในที่สุด Pitch Black ก็มีภาคต่อออกมาจริงๆ แถมตัวละครอย่าง "ริชาร์ด บี. ริดดิค" ที่วิน ดีเซลรับบทเอาไว้
ก็กลายเป็นหนึ่งในตำนานฮีโร่แบบหนัง "คัลท์" ที่คอหนังไซไฟรู้สึกชอบใจอีกคนหนึ่ง . .
+ด้วยบุคลิกภาพที่ยากจะคาดเดาว่ามาดี หรือมาร้าย การใช้ชีวิตในแบบปัจเจกชน สไตล์ "ข้าไม่อยากยุ่งกับใคร เพราะฉะนั้นใครก็อย่ามาขวางทางข้า" และการช่วยเหลือ หรือหยิบยื่นน้ำใจให้กับผู้คนที่อยู่รายรอบของริดดิคนั้น เป็นไปไม่ต่างจากการกระทำแบบเลี่ยงเสียไม่ได้ เพราะ "ทนรำคาญลูกตา" ไม่ไหว หรือไม่ก็ "ช่วยได้ก็ช่วยๆกันไป" เสียมากกว่าจะมาจากจิตใจที่ดีงาม . .
+ซึ่งทำให้ตัวละครตัวนี้มีความลึกในตัวไปอีกแบบหนึ่ง ทั้งๆที่มาด้วยมาดที่แข็งทื่อ และการแสดงที่ไร้อารมณ์ในแบบที่อาจทำให้อาร์โนลด์ ชวาร์ซเซเน็กเกอร์ เป็นดาราเจ้าบทบาทไปเลยของ
วิน ดีเซล
+แต่ก็ต้องยอมรับว่าลักษณะเฉพาะตัวของริดดิคที่ว่านี้ "ต่าง" และประหลาดไปจากฮีโร่รายอื่นๆที่คนดูรู้จัก ที่ส่วนใหญ่มักจะมีจิตใจที่ดีงาม และมีความตั้งใจจะช่วย มากกว่าจะเป็นไปเพราะสถานการณ์บีบบังคับ . . และนี่ก็คือเสน่ห์ของตัวละครตัวนี้ เช่นเดียวกับการที่ตัวละครต้องเอาตัวรอดให้พ้นจากสภาพบรรยากาศที่พร้อมจะเอาชีวิตทุก
ผู้คนที่เผชิญกับมัน . . .
+ซึ่งเสน่ห์ในจุดนี้ ก็น่าจะเป็นองค์ประกอบสำคัญส่วนหนึ่ง ที่ทำให้เกิดผลลัพธ์แบบที่ไม่มีใครคาดคิดของ Pitch Black
อันเป็นเหตุก่อให้เกิดหนังภาคต่อมาในชื่อ The Chronicles Of Riddick อย่างที่เห็น . . .
+แม้จะเป็นภาคต่อ แต่ The Chronicles Of Riddick ก็ต่างไปจากหนังต้นฉบับของตัวเองแบบคนละโลก คนละเรื่อง เพราะกับ Pitch Black เรากำลังเอ่ยถึงหนังแอ็คชั่น-ไซไฟ ผสมทริลเลอร์ แต่กับ The Chronicles Of Riddick หนีงฉีกแนวออกมาเป็นหนังแอ็คชั่น-ไซไฟ ผจญภัยเต็มรูปแบบ
+และไม่ใช่แค่ทิศทางของหนังเท่านั้นที่เปลี่ยนไป ด้วยทุนสร้างที่มากขึ้น The Chronicles Of Riddick ก็กลายเป็นหนังอลังการงานสร้างมากขึ้นตามจำนวนเม็ดเงิน และหากนำไปเทียบกับ Pitch Black ทั้งเรื่อง อาจจะเท่ากับทุนสร้างเพียงแค่ 15-20 นาทีของ The Chronicles Of Riddick ก็เป็นได้ . . .
+แต่กับทุนสร้าง ความโออ่าตระการตา หรือว่าอลังการงานสร้างที่มากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าจะได้หนังที่มาพร้อมกับคุณภาพในตัวที่มากขึ้นเสมอไป และในหลายๆครั้ง หลายๆครา เงินตราและทุนรอนในการสร้างที่เพิ่มขึ้น ก็กลับทำให้หนังออกไปในทางผกผันตรงกันข้ามกับสิ่งที่มาด้วยซ้ำไป และในอีกมุมหนึ่ง เรื่องของริดดิคใน The Chronicles Of Riddick ก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเรื่องของเทพนิยาย ที่มีให้ได้ยินกันมายาวนาน และถูกสร้างมาเป็นภาพยนตร์แล้วหลายต่อหลายครั้งด้วยกัน . . .
+นอกจากจะมาพร้อมกับทุนสร้างที่มากขึ้นแล้ว The Chronicles Of Riddick ก็ยังมาพร้อมกับเรื่องราวที่ซับซ้อนหลากชั้นกว่า Pitch Black ที่เป็นเรื่องของการเอาตัวรอดบนดาวที่มีสัตว์มรณะให้ได้ ในขณะที่สภาพแวดล้อมของดวงดาว ก็พร้อมจะเอาชีวิตของพวกเขาเช่นกัน ซึ่งกับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยเงื่อนไข และความซับซ้อนของสถานการณ์ และสถานที่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องยากที่จะใส่ฉากแอ็คชั่นที่ชวนตื่นเต้นลงไป ซึ่งเดวิด ทูฮีย์ก็ใช้โอกาสที่มีได้อย่างคุ้มค่า . .
+ในขณะเดียวกันก็ยังคงเก็บเงื่อนไขหลักที่เป็นองค์ประกอบสำคัญ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ของหนังภาคแรก คือการเร่งเดินทางให้ทันกับสภาพบรรยากาศที่กำลังเปลี่ยนแปลงให้ได้ แต่ในคราวนี้ กลายมาเป็นเพียงหนึ่งสถานการณ์ที่ริดดิคต้องเจอ และหากจะตัดออกไป ก็ไม่น่าจะทำให้ตัวเรื่องราวเสียหายไปแต่ประการใด เพราะเท่าที่เห็นดูจะเป็นแค่เครื่องประดับเท่านั้น . . .
+และนี่ก็ไม่ใช่แค่เสน่ห์เฉพาะตัวอย่างเดียวที่หายไป กระทั่งความน่าสนใจในตัวละครริดดิค ก็ยังเก็บเอาไว้ไม่ได้ในหนังทุนโตเรื่องนี้ จากแต่แรกเดิมทีที่ดูเอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่รู้ว่าคิดอะไร!? และจะทำอะไร!? . . ใน The Chronicles Of Riddick ริดดิคคือฮีโร่ในแบบที่ทุกคนคุ้นเคย และความคิดของเขาไม่ใช่เรื่องยากเกินจะคาดเดาอีกต่อไป . .
+และเมื่อรวมกับบทสนทนาแบบเน้นว่า "เท่" เป็นหลักของตัวละครกล้ามใหญ่ตัวนี้ ก็ยิ่งเป็นการทำลายมากกว่าจะเป็นพัฒนาการของตัวละคร . . และนั่นก็ทำให้ตัวละครตัวนี้ที่เคยเป็นตัวละครในแบบ "คัลท์" หัวขบถที่น่าติดตาม และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ Pitch Black ประสบความสำเร็จ เปลี่ยนไปในทางตรงกันข้าม . . .
+ส่วนสิ่งที่ได้มาทดแทนในส่วนที่หายไป กลับกลายเป็นงานในส่วนองค์ประกอบศิลป์ของหนังที่ "โฮลเกอร์ กรอสส์" เป็นคนออกแบบ ซึ่งเน้นความแข็งแรง โอ่อ่าโอฬาริก และมาพร้อมกับโทนสีดำเคร่งขรึม ผสมผสานกับรูปแบบของงานศิลปะในยุคกลางของยุโรป . . และก็ต้องยอมรับว่านี่คือส่วนที่สามารถดึงดูดความสนใจได้มากที่สุดของ The Chronicles Of Riddick ด้วยซ้ำไป อย่างน้อยๆก็ทำใรู้สึกตื่นตาทุกครั้งที่ได้เห็น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้สถานการณ์ของ The Chronicles Of Riddick ออกมาดูดีกว่าเดิมไปสักเท่าไหร่ . . .
+เพราะหัวใจที่แท้จริงของหนังที่จะประสบความสำเร็จได้นั้น ไม่ใช่อยู่ที่ความยิ่งใหญ่ของฉาก ของภาพ หากแต่เป็นที่เรื่องซึ่งก่อกำเนิดตัวละครที่น่าสนใจต่างหาก พอมองมาถึงตรงนี้ The Chronicles Of Riddick ขาดในสิ่งที่ควรจะมีไปเสียทั้งหมด . . ตัวละครก็ดูจะห่างเหินกับผู้ชมไปเรื่อยๆ ตามระยะเวลาที่หนังเดินไป จนไม่รู้สึกรู้สมอะไรกับชะตากรรมของตัวละคร
+และบางทีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงทางเดินของหนัง แม้จะน่าชื่นชมในการไม่ทำซ้ำ แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำไปพร้อมๆกันก็คือ รักษาเสน่ห์อันน่าติดตาม ที่ทำให้หนังกลายเป็นความฮิตแบบเงียบๆเอาไว้ให้ได้ และนี่คือสิ่งที่ไม่อาจเห็นได้ในหนังแอ็คชั่น-ไซไฟ ผสมแฟนตาซีธรรมดาๆเรื่องนี้ . . .
+ให้ 2 ดาวครึ่งค่ะ* (*ความคิดเห็นส่วนตัว)
+ภาพประกอบจากเว็ปไซต์ http://www.ugo.com/ugo/html/gallery/?img=1...age=0&id=88 ค่ะ
QUOTE
+ขอเก็บค่าอ่านคนละ 1 คอมเม้นต์เท่านั้นจ้า+
+ เป็นกำลังใจให้ผู้เขียนค่ะจ้า . . ไม่ตอบ Reply ให้กันมั่ง ขอให้จู๊ดๆ (นิสัยๆ ^ ^)+ +
+อีกสักนิด เนื่องจากมีเพื่อนๆ พี่ ๆ หลายท่าน ถามเรื่องระดับของดาวมา . . จะขอชี้แจงดังนี้ค่ะ+
QUOTE
+ดาวที่ให้ วัดกันง่ายๆเลยจาก 1-4 ดาวค่ะ โดย+
1 ดาว - หนังดูไม่สนุกเอาซะเลย2 ดาว - หนังดูได้แบบเพลินๆ อย่างน้อยก็ยังดูเอามันได้
3 ดาว - หนังสนุก คุ้มค่า มีความน่าสนใจ และมีดีในระดับที่ชวนติดตาม และน่าซื้อหาเก็บไว้ยามออกเป็นแผ่น
4 ดาว - หนังยอดเยี่ยมอย่างที่สุด และพลาดไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง
+และแน่นอนว่า ทั้งหมดเป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียน อาจจะไม่ตรงกับบางท่าน เพราะรสนิยมความชอบที่ต่างกันนั่นเองค่ะ
+ และสำหรับรีวิว เขียนเพื่อให้อ่านเป็นแนวทาง สำหรับการเลือกดู หรือเก็บสะสมแผ่น . . หรือแลกเปลี่ยนความรู้สึก และประสบการณ์จากหนังเรื่องนั้นค่ะ
+ดูหนังให้สนุกนะคะ+
Edited by rbgel, 08 December 2009 - 01:26 PM.