เราไม่สามารถปฏิเสธได้ว่านี่คือยุคทองของเกมแบบ Multiplayer ไม่ว่าจะ Co-op กับ Battle Royale หรือแบบ Online ก็ดี ต่างได้รับความสนใจจากเหล่าผู้เล่นทั่วโลกที่จะเอามาเล่นกับเพื่อนกันเองก็ดีหรือเล่นกับคนแปลกหน้าในโลกออนไลน์ก็ดี จึงไม่น่าแปลกใจที่เกมเหล่านี้จะโผล่มาให้เลือกซื้อเยอะเป็นกระบุงขนาดนี้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกเกมที่จะประสบความสำเร็จแบบเดียวกับ PUBG หรือ Fortnite และก็มีหลายเกมที่วางจำหน่ายมาแล้วก็ลงหลุมไปในเวลาอันรวดเร็ว ต่อไปนี้คือ 5 เกมที่วางจำหน่ายในปี 2018 ที่ประสบความล้มเหลวอย่างไวจนต้องปิดตัวหรือฝืนทนต่อยอดผู้เล่นที่ลดลงไปเรื่อย ๆ กันครับ

Realm Royale

เริ่มกันที่เกมแรกกับเกมของ Hi-Rez Studios ที่มีผลงานอย่าง Smite และ Paladin กับการมาจับตลาด Battle Royale ในไอเดียที่ไม่เหมือนใคร คือการให้ผู้เล่นเลือกคลาสที่ต้องการเล่นแล้วลงไปตะลุมบอนกันในสนามรบ ถือเป็นไอเดียที่แปลกใหม่และดึงดูดให้ใครหลาย ๆ คนลิ้มลอง แต่ไม่นานหลังจากนั้นยอดผู้เล่นก็ดิ่งลงไปเรื่อย ๆ เพราะด้วยจำนวน Bug ในเกมที่มีมหาศาล และการปรับแก้ตัวเกมจนสมดุลพังเละไม่เหลือดี จนผู้เล่นออกมาบ่นกันอย่างมากมาย แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าดีขึ้นแม้แต่น้อย จนตอนนี้คำวิจารณ์ใน Steam ช่วงหลังก็กลายเป็นตัวแดงเกือบทั้งหมด และยอดผู้เล่นก็ดิ่งลงเรื่อย ๆ จนเหลือแค่หลักพันกว่าคน จากที่เคยพุ่งสูงถึงหลักล้านมาก่อน และดูเหมือนว่าจะลดลงเรื่อย ๆ แม้จะเปิดตัวมาได้ดี แต่ในตอนนี้กลับกำลังดิ่งลงเรื่อย ๆ จนแทบจะถึงขั้นล้มเหลวไปเลย

Wild West Online

เชื่อว่าน่าจะมีคนหลงผิดกดซื้อเกมนี้มาเล่นเพราะคาดหวังว่าจะมีอะไรที่เกมอย่าง Red Dead Redemption จะมอบให้ได้ กับเกมออนไลน์ในโลกของเหล่าคาวบอย และคาดหวังว่าจะมีอะไรให้ทำมากมาย แต่เปล่าเลย ตัวเกมนั้นไม่มีเนื้อหาอะไรให้เล่นมากนัก แถมโลกในเกมยังว่างเปล่ากลวงโบ๋ สำคัญที่สุดคือไร้ซึ่งความสนุก จนเวลาผ่านไปเนิ่นนานก็ยังแทบไม่มีเนื้อหาใหม่ใด ๆ มาดึงดูดให้ผู้เล่นกลับมาสนใจได้ แถมตัวเกมก็แทบไม่มีการอัพเดตอะไรเลยหลังจากเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา และมาพร้อมรีวิวติดตัวแดงจากผู้เล่นหลายรายที่แนะนำว่าให้หนีห่างจากเกมนี้ไปเสีย ถ้าหากเป็นไปได้ ขอให้คุณเก็บเงินอันมีค่าเอาไว้ซื้อ Red Dead Redemption 2 จะดีกว่า แม้ตัวเกมจะถูกแสนถูกแค่ไหนก็ตาม

Tennis World Tour

นานมากแล้วที่เราแทบไม่ได้เห็นเกมกีฬาเทนนิสคุณภาพดีออกมาให้เราได้สัมผัสกัน และ Tennis World Tour ก็เคยเป็นหนึ่งในเกมความหวังเกมนั้น แต่ด้วยความย่ำแย่ของมันอันเหลือจะกล่าว เช่นการควบคุมที่ไม่ได้เรื่อง เกมการเล่นห่วยสุดทน โหมดสอนการเล่นก็แย่ ที่สำคัญคือตัวเกมกล้าพูดว่าเป็นเกม Multiplayer แต่เรากลับไม่สามารถเล่นโหมด Multiplayer ได้!! จนสุดท้ายทีมงานผู้พัฒนาก็ออกมายอมรับว่าเกมของพวกเขาทำไม่เสร็จจริง ๆ และขอโอกาสแก้ตัวและนำเกมไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นในปีถัดไป ถ้าใครอยากรู้อยากลองก็คงไม่แนะนำให้เล่น เพราะตัวเกมที่ขายใน Steam Store ไทยราคาก็เอาเรื่องถึง 1,600 บาทเลย ปล่อยให้เกมทำให้เสร็จก่อนเรื่องอื่นเราค่อยว่ากันจะดีกว่า

Radical Height

อีกหนึ่งเกม Battle Royale ที่เคยเรียกความสนใจให้กับผู้เล่นได้ในช่วงเปิดตัวพักหนึ่ง เพราะนี่คือผลงานจาก Cliff Bleszinski อดีตผู้สร้าง Gears of War และ Unreal Tournament ในตำนาน ก่อนที่ยอดผู้เล่นจะหล่นวูบหลังเปิดตัวเกมไปได้แค่ 2 สัปดาห์ และปิดตัวไปทั้งตัวเกมและทีมพัฒนาในเวลาเพียงแค่เดือนเดียวเท่านั้น เพราะถึงแม้ตัวเกมจะดูดีมีคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจโดยการนำธีมเกมโชว์ในแบบยุค ’80 มาประยุกต์กับเกมแนว Battle Royale เพิ่มความน่าสนใจ แต่เนื่องจาก Bug ปริมาณมหาศาล ปัญหาของการเข้าเล่นตัวเกมและเนื้อหาในเกมที่มีให้เล่นค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับเกมแนวเดียวกัน ทำให้มันถูกลืมเลือนและทุกคนก็กลับไปเล่น PUBG กับ Fortnite กันเหมือนเดิม

The Culling II

ถ้าหากเกมที่แล้วว่าปิดตัวไวแล้ว คุณต้องได้เจอ The Culling 2 ที่มาไวไปไวยิ่งกว่าศรีสวัสดิ์เงินติดล้อ เพราะหลังจากที่ตัวเกมเปิดให้เล่นได้เพียงแค่”วันเดียว” ใช่ แค่วันเดียวจริง ๆ ยอดผู้เล่นที่เข้าไปลองเล่นจากหลักร้อยเหลือเพียงแค่ 2 คน ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในวันเดียว ด้วยความซ้ำซากของตัวเกมที่ทีมพัฒนาเปลี่ยนแปลงเนื้อหาในเกมให้กลายเป็นเกมโคลนของ PUBG ที่มีคุณภาพต่ำติดดิน ภาพกราฟฟิกก็ธรรมดา แถมด้วยการเชื่อมต่อเซิฟเวอร์ที่ล่มไปไม่ทราบสาเหตุ จนสุดท้ายทางทีมงานผู้พัฒนาก็ต้องออกมาประกาศให้ทุกคนที่หลงผิดซื้อเกมนี้ไปสามารถคืนเงินได้เต็มจำนวน รวมไปถึงยกเลิกการพัฒนาเกมนี้ลง และกลับไปปรับปรุงตัวเกมภาคแรกให้ดีกว่านี้ ถือเป็นบทเรียนราคาแพงของทีมพัฒนาที่คิดจะเกาะกระแสแต่ตัวเองไม่มีความพร้อม และเป็นเกมที่เรียกว่ามาอย่างไว ไปอย่างไวแบบที่สุดของปี 2018 นี้เลยทีเดียว

นี่เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้นสำหรับเกมที่ออกมาแล้วประสบความล้มเหลวอย่างสุด ๆ ในปีนี้ บางเกมก็ดูตจะมีศักยภาพที่ดีแต่ก็เกิดปัญหาขึ้น หรืออย่างบางเกมที่แย่มาตั้งแต่แรกจนทีมงานทึ้งเกมไปดื้อ ๆ ก็มี หวังว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จะไม่มีเกมที่รีบมารีบไปแบบที่เรานำเสนอให้เห็นกันอีกนะครับ

เกมออนไลน์ต้องรอให้เปิดบริการไปสัก 1-2 ปี ให้อยู่ตัวก่อน ถ้ายังรอดไปได้และยังมีคนเล่นสม่ำเสมอ แสดงว่าดีจริง

ส่วนเกม offline ก็รอ review ก่อน

gamer, on 14 September 2018 - 09:41 PM, said:

เกมออฟไลน์สมัยนี้ ผมรอนู่นเลยครับ ปีนึง

นอกจากแก้บั๊คแล้ว มันชอบมีโหมดพิเศษ เพิ่มความยาก นิวเกมบวก ถอดลูทบ๊อกซ์ไรพวกนี้ให้ด้วย
ดีไม่ดีมัดรวม DLC ให้ด้วยอีกต่างหาก หลังๆติดนิสัยเลย

gamer, on 14 September 2018 - 09:41 PM, said:

9th TEARDROP, on 14 September 2018 - 11:50 PM, said:

ผมรอเหมือนกัน

แต่รอตอนลดราคาเลย 5555++

บางทีก้อคิดบางเกมนี้ ถ้าผ่านไปนานๆคนจะเลิกเล่นหาห้องหาอะไรยาก

แต่ด้วย logic ที่ว่าพอลดก็จะมีคนเล่นใหม่ซื้อมา ก็อาจทำให้เซิพคึกคักได้ในช่วงแรกๆที่ลด