ช่วงครึ่งปีมานี้หนึ่งในกระแสวิพากษ์วงเกมนั้นมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งในเรื่อง eSports , พัฒนาการของเกมหรืออะไรต่าง ๆ ก็ตาม แต่หนึ่งในประเด็นที่เปิดให้คนเข้ามาถกเถียงกันอย่างง่ายที่สุดคือ “เรื่องความไม่สมจริงทางประวัติศาสตร์” ที่หลาย ๆ เกมอย่าง ฺBattlefield V และ Total War: Rome II ก็โดนกระแสนี้กันอย่างต่อเนื่อง ราวกับว่ามันเป็นดาบสองคนทั้งคนเล่นเกมและคนทำเกม วันนี้เราจะมาดูว่าสาเหตุมาจากอะไร
ทำไมเราถึงแตกแยกในเรื่องนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นประวัติศาสตร์คล้าย ๆ กัน
ประวัติศาสตร์มีอยู่ 2 ความหมายใหญ่ ๆ คือ 1.เรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในอดีต (History Fact) 2.วิธีการในการในการศึกษาประวัติศาสตร์ (History Methodology) สำหรับเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงนั้นในประวัติศาตร์นั้นเป็นเรื่องที่เราน่าจะทราบกันดีอยู่แล้ว เช่น ฮิตเลอร์ก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 อาณาจักรโรมันขยายอิทธิพลไปทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แต่สิ่งที่ทำให้คนตีกันในตอนนี้คือกระบวนการในการศึกษาประวัติศาสตร์ ที่แต่ละคนจะมีวิธีในการศึกษาและถ่ายทอดต่างกันตามประสบการณ์และความรู้ ทำให้เกิดประวัติศาสตร์หลายชุดซึ่งวัดกันตรงที่หลักฐานที่มี
เพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจยาก ผู้เขียนจะแบ่งประวัติศาสตร์เป็นระดับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่าย โดยวัดจากความเข้าใจของแต่ละคน โดยใช้ระบบ Level เพื่อความเข้าใจง่ายในแต่ละคน
- No Level: ประวัติศาสตร์เรื่องน่าเบื่อข้ามไปดีกว่า
- Level 1: ประวัติศาสตร์เป็นวิชาหนึ่งที่เรียนแล้วสนุกตื่นเต้น ได้ความรู้
- Level 2: ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวในอดีต โดยเฉพาะเรื่องของใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร ยุคนี้ใครเก่งยุคนี้ใครเลว เป็นต้น
- Level 3: ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของการศึกษาการกระทำของมนุษย์นับตั้งแต่ประดิษฐ์ตัวอักษรมา จนถึงปัจจุบัน ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร
- Level 4: ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของการศึกษามนุษย์ผ่านหลักฐานต่าง ๆ ทั้งเป็นอักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร โดยมีจุดมุ่งหมายว่าใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร มีพลวัตหรือบริบทอะไรเป็นเบื้องหลังของเหตุการณ์ต่าง ๆ
- .
- .
- .
- Level 999,999 : ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องหลอกลวง ทุกอย่างเกิดขึ้นจากจากบันทึกของคนไม่กี่คน อีกทั้งเราก็เกิดกันไม่ทัน เราจะเข้าใจได้อย่างไรว่าเกิดอะไรขึ้นจริง
เห็นไหมว่าแค่เรื่องความเข้าใจยังมีหลายระดับเลย ยังไม่นับเวอร์ชั่นที่มีคนเขียนให้เราอ่านอีกเป็น 1,000 จึงยากที่เราจะเข้าใจประวัติศาสตร์เรื่องเดียวกันเหมือนกัน
ประวัติศาสตร์อ่านเป็นตัวหนังสือมันเข้าถึงคนน้อย ทำให้เป็นเรื่องบันเทิงเข้าถึงคนมากกว่า
หากคุณอ่านมาถึงย่อหน้านี้ คุณก็คงจะรู้ไม่มากก็น้อยว่าประวัติศาสตร์สายตรงนั้น ทั้งยากที่จะเข้าถึงและไม่สนุก ดังนั้นการเอาประวัติศาสตร์ไปทำเป็นสื่อบันเทิงต่าง ๆ ย่อมดีกว่าการเจอสิ่งนี้ตรง ๆ ส่วนความสนุกนั้นแล้วแต่ว่าใครจะนำไปตกแต่ง เพิ่มเติม ก็แล้วแต่จินตนาการของคนสร้าง เพื่อที่จะให้การนำเสนอและเนื้อหาออกมาตื่นเต้นกว่าเดิม ไม่ว่าจะในวงการภาพยนตร์ นิยาย การ์ตูนหรือแม้แต่เกม ล้วนเป็นประวัติศาสตร์ฉบับความบันเทิงทั้งสิ้น ดังนั้นเราจึงได้รู้จักกับประวัติศาสตร์ในหลายแนวทางและมุมมอง ตามเจตนารมณ์ของเจ้าของผลงาน
แน่นอนว่ามีด้านดีก็ต้องมีด้านเสีย เนื่องจากประวัติศาสตร์บางช่วงได้ถูกนำมาทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำจนพรุน ทำให้ทางทีมพัฒนาจะต้องหาเนื้อหาหรือทำอะไรที่แตกต่างกับเวอร์ชั่นปกติ นำไปสู่การสร้างเนื้อหาใหม่หรือบางครั้งถึงกับเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ทำให้เกิดข้อกังขาหรือไม่พอใจกับเหล่าคนดูที่อ่านหนังสือประวัติศาสตร์ที่ไม่ตรงกับเรื่องพวกนี้ก็ได้ “ทำให้เปรียบเสมือนคมดาบที่พร้อมจะฟันไม่เกมเมอร์ก็คนสร้างเกม”
“เกมอิงประวัติศาสตร์” หรือ “เกมตรงตามประวัติศาสตร์” ถึงจะอยู่รอดจากคมดาบทั้งสองด้านนี้
99% ของเกมที่นำประวัติศาสตร์มาสร้าง ไม่ว่า เกมอิงประวัติศาสตร์ หรือ เกมตรงตามประวัติศาสตร์ จะมีข้อความประเภทนี้เสมอยกตัวอย่างเช่น[indent]
สิ่งนี้ได้รับแรงบรรดาลใจจากในประวัติศาสตร์ หรือ บุคคลต่าง ๆ เรื่องราวเหล่านี้สร้างขึ้นจากนิยาย ภายใต้การผลิตและพัฒนาจากกลุ่มคนที่มีหลากหลายทางวัฒนธรรม,ศาสนาและความเชื่อ
Ubisoft กล่าวไว้ในเกม Assassin’s Creed ทุกภาค[/indent]
นั่นทำให้เหล่าเกมเมอร์ทั้งหลายนั้นอาจจะต้องเจ็บแค้นในใจเล็ก ๆ ว่าสุดท้ายแล้วเกมทุกเกมมันก็ไม่ใช่เรื่องจริงแบบ 100% เพราะทุกอย่างนั้นถูกสร้างขึ้น หากมองไปถึงระดับปรัชญาแล้ว คุณก็จะพบว่า “แค่การบังคับตัวละครก็ไม่ถือเป็นประวัติศาสตร์แล้ว เนื่องจากเราเป็นคนเขียนประวัติศาสตร์ ไม่ใช่ตัวละครในเกมเป็นคนทำให้เกิดประวัติศาสตร์” ดังนั้นเราไม่ควรจะนำสิ่งเหล่านี้มาเป็นประเด็นที่ทำให้เกิดดราม่าซึ่งกันและกันจะดีที่สุด นอกจากนี้หากเกมเมอร์อยากจะศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์จริง ๆ การอ่านหนังสือเสริม การดูสารคดีย่อมให้ความกระจ่างมากกว่าการเล่นเกมอยู่แล้ว
แต่ในบางครั้งการนำเอาประวัติศาสตร์มาทำใหม่อย่างไม่สร้างสรรค์และเป็นการทำร้ายจิตใจของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ อาจจะเป็นเรื่องที่น่าจะเอาดาบไปจามหน้าของคนสร้างและผู้บริโภคเสียจริง ๆ เช่นเกมที่เกี่ยวกับการรีรันเหตุการณ์การยิงกันในโรงเรียนอย่าง Active Shooting ที่อ้างอิงเหตุการณ์ยิงกันในโรงเรียน Marjory Stoneman Douglas High School ใน Parkland รัฐ Florida เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2018 ที่ผ่านก็เป็นเรื่องที่ควรประนาม
สรุป
สุดท้ายแล้ว เราในฐานะเกมเมอร์และผู้บริโภคอันเป็นจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมนี้ เราไม่ควรที่จะเอาเรื่องของความสมจริงทางประวัติศาสตร์มาเป็นเกณฑ์ในการตัดสิน เราควรจะตัดสินที่เกมการเล่นและการนำเสนอมากกว่า เนื่องจากทำให้ทีมพัฒนาได้ดึงศักยภาพในความคิดสร้างสรรค์ ทลายข้อจำกัดเดิม ๆ พร้อมทั้งนำเสนอในสิ่งใหม่ ๆ เพื่อความสนุกมากกว่า เพราะสุดท้ายแล้ว ประวัติศาสตร์ก็เป็นเพียงหนึ่งในเครื่องมือของมนุษย์ ที่สร้างมาให้เราเข้าใจตัวเองว่าเราคือใคร เราเป็นอย่างนี้เพราะอะไร