0
Stop Action กับ Panning คืออะไร ก็ตอบได้เลยว่าคือลักษณะการถ่ายภาพที่มีการเคลื่อนไหวครับ
stop action ก็คือการถ่ายภาพที่ต้องการหยุดความเคลื่อนไหวของวัตถุ ณ เวลาที่เราต้องการนั่นแหละครับ
panning ก็คือการถ่ายที่ต้องใช้เทคนิคในการเคลื่อนกล้องตามวัตถุ เพื่อให้ฉากหลังเบลอออกไป แต่วัตถุจะต้องมีความคมชัดในระดับหนึ่งนะครับ (บางทีไม่ต้องชัดมากก็ได้)
เมื่อไหร่ควรใช้เทคนิค stop action และ panning.........
ไม่มีหลักตายตัวหรอกครับว่ารูปไหนควรถ่ายแบบ stop & panning อยู่ที่จินตนาการของช่างภาพเองว่าอยากให้ภาพออกมาแบบไหน แต่ก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความสามารถของกล้องและช่างภาพเองด้วยนะครับ ไม่ใช่ว่าอยากแพนโดยใช้สปีดชัตเตอร์ 1 วินาที แบบนี้ โอกาสได้รูปคงน้อยมากๆ (ขนาดช่างภาพ formula 1 ยังใช้แค่ประมาณ 1/60 เท่านั้นเอง)
อุปกรณ์ที่ควรมีล่ะ............
ฮืม.......กล้อง เลนส์อะไรก็ถ่ายได้ทั้งนั้นแหละครับ แต่โอกาสได้ภาพมันต่างกัน
เช่น ใช้ 350D จะไปสู้ 1D mark3 ก็คงไม่ไหว แต่ถามว่า 350D ถ่ายได้ไม๊ ถ่ายได้เหมือนกันครับ แต่ จังหวะที่เราต้องการ บางทีมันแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น โอกาสที่จะได้ภาพย่อมน้อยกว่าคนที่ใช้ 1D mark3 แน่นอน ส่วนเรื่อง เลนส์ ก็ เหมือนกันแหละครับ เลนส์อะไรก็ถ่ายได้เหมือนกันครับ อยู่ที่เราต้องการให้ภาพออกมาแบบไหน แต่ถ้าใช้เลนส์ wide ก็เสี่ยงหน่อย เพราะต้องเข้าไปใกล้วัตถุมาก (อันตราย หรือเข้าใกล้ไม่ได้ครับ) ทางที่ดีควรใช้ tele จะดีกว่าครับ ยิ่ง tele zoom ยิ่งสะดวกครับ
แล้วควรตั้งค่ากล้องยังไง.........
ส่วนใหญ่เลย ผมจะตั้งค่ากล้องแบบนี้
Focus mode เป็น continue (หรือ AI servo นั่นแหละ) เพราะกล้องจะคอยจับโฟกัสให้ตลอด เราควรจะเอาสมาธิไปอยู่ที่จังหวะที่เราจะถ่ายดีกว่า
shooting mode จะเลือกใช้ โหมด A (หรือ Av นั่นแหละ อันเดียวกัน) แล้วปรับแบบเร็วที่สุดครับ เร็วได้กี่เฟรมต่อวินาที ใส่ให้หมดเลยครับ 55555 จะได้ไม่พลาดโอกาสทอง ส่วนใหญ่โหมดนี้ผมจะเน้นถ่ายแบบ stop action มากกว่า แต่ถ้าจะถ่ายแบบ panning ผมจะปรับอีกแบบนึงครับ คือ จะใช้โหมด s (หรือ Tv) แล้วเลือกสปีดชัตเตอร์ตามที่เราต้องการ กล้องก็จะคำนวนค่ารูรับแสงให้เอง เท่านั้นเอง
ส่วนเรื่อง ISO ผมจะพยายามตั้งให้ต่ำๆไว้จะได้ไม่ต้องมี noise มารบกวนครับ
ทำไมไม่ใช้โหมด M ล่ะ.......
ตอนนี้กำลังหัดอยู่ครับ แต่ข้อเสียของโหมด M คือ ส่วนมากจะเป็นงานที่ต้องถ่าย outdoor สภาพแสงจะเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เคยเจอแบบแบบว่าตอนตั้งค่าไว้แดดเปรี้ยงเลย แต่พอจังหว่ะที่จะถ่ายจริงๆ มีเมฆมาบังซะงั้นอ่ะ ปรับแก้ไม่ทันด้วย เลยต้องถ่ายแบบ under ไปก่อน แล้วค่อยไปแก้อีกที แต่ข้อดีของโหมด M ก็มีนะ (ไม่งั้นไม่หัดหรอก) คือถ้าปรับได้คล่องหน่อย โอกาสที่จะได้รูปดีๆ ง่ายกว่า ไม่ต้องมานั่งแก้ทีหลังด้วย
แล้วเรื่องการใช้ค่าสปีดชัตเตอร์ล่ะ...........
อันนี้ตอบยากครับ ไม่มีกฏตายตัว อยู่ที่ความสามารถและจินตนาการของช่างภาพเองครับ
ใช่ว่าใช้สปีดชัตเตอร์ต่ำแล้วรูปจะสวยเสมอไปครับ แล้วก็อยู่ที่การฝึกฝนด้วย เพราะบางทีเมื่อคุณต้องการใช้สปีดชัตเตอร์ที่ต่ำมากจริงๆ แต่มือคุณนิ่งไม่พอ โอกาสได้รูปก็น้อยตามไปด้วยครับ เอาเป็นว่าอยู่ที่ประสบการณ์ดีกว่าครับ ถ่ายไปเยอะๆ แล้วก็จะรู้เองว่าควรใช้สปีดชัตเตอร์เท่าไหร่ ที่จะทำให้คุณได้รูปสวยๆ
ป.ล. จำไว้ให้แม่นครับ สปีดยิ่งต่ำ รูปยิ่งมีโอกาสเสียมาก
ควรถ่ายเป็น raw หรือ jpg ......
ตอบแบบไม่ต้องคิดเลยครับ Raw เป็นคำตอบสุดท้ายเลยครับ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า สภาพแสงเปลี่ยนตลอด โอกาสพลาดมีสูง ถ่ายเป็น Raw ไว้เอามาแก้ทีหลังได้ง่ายกว่า เพราะไฟล์ยืดหยุ่นกว่า jpg
แล้วเรื่องของการจัดองค์ประกอบภาพล่ะ......
เมื่อก่อนเคยคิดว่าการถ่ายภาพประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่ององค์ ประกอบภาพมากนักหรอก เน้นจังหวะอย่างเดียวก็พอ แต่พอนานๆเข้า เริ่มโง่น้อยลงถึงได้รู้ว่าไม่ว่าจะเป็นการถ่ายภาพแบบไหนก็ควรจะเริ่มจากการ จัดองค์ประกอบภาพ และแสงเป็นอันดับแรกก่อน เพราะถ้าเราได้ภาพจังหวะดีๆ แล้วองค์ประกอบภาพดีด้วย มันก็ทำให้ภาพดูดีขึ้นผิดหูผิดตาไปเลย ส่วนเรื่องหลักการจัดองค์ประกอบภาพนั้น ก็เหมือนๆกับการถ่ายภาพทั่วไปนั่นแหละ ไม่ว่าจะเรื่อง เส้น สี รูปทรง จุดตัดเก้าช่อง ฯลฯ ใช้ได้หมด เพียงแต่ว่าคุณจะเลือกใช้แบบไหนในสถาณการณ์นั้นๆมากกว่า
เครดิต playpig pixpros.net ขอนำความรู้มาเผยแพร่ให้เพื่อนนะค้าบ
