ส่วนใหญ่แล้วในเอกสารแสดงคุณสมบัติผลิตภัณฑ์ หรือตาม website จะไม่ระบุว่า LCD รุ่นที่คุณกำลังสนใจนั้นใช้ Panel ประเภทไหน สิ่งที่คุณสามารถทำได้ก็คือ การค้นหาข้อมูลตาม website ต่างๆ หรือจาก service manual ของ LCD panel รุ่นนั้นๆ ครับ และเมื่อทราบว่า LCD รุ่นที่คุณสนใจนั้นใช้ Panel แบบไหน ก็สามารถศึกษาข้อมูลข้อดี/ข้อเสียของ Panel ชนิดนั้นได้จากบทความข้างล่างนี้เลยครับ
แรงบันดาลใจของการรวบรวมข้อมูลตรงนี้คือ ผมมักจะถูกถามอยู่บ่อยๆ ว่าเวลาเลือกซื้อ LCD Panel จะซื้อแบบไหนดี และบังเอิญไปเห็นร้านค้าที่พันธุ์ทิพย์แนะนำลูกค้าว่า “พี่ซื้อจอ LCD แบบ TFT ดีสุดแล้ว” ทั้งๆ ที่จอ LCD ที่ขายอยู่ในร้านนั้นเป็นแบบ TFT ทั้งหมด!!! และจอ LCD แบบ STN Passive Matrix นั้นมันแทบจะสูญพันธุ์ไปหมดเมื่อเกือบ 10 ปีมาแล้ว ซึ่งปัจจุบันจอ LCD แบบ STN ก็มีให้เห็นน้อยมากๆ โดยจะมีให้เห็นเฉพาะบนอุปกรณ์พกพาราคาประหยัดเท่านั้น
บทความนี้เกิดจากการรวบรวมข้อมูลจากแหล่งต่างๆ (ส่วนใหญ่แล้วจะเอามาจาก wikipedia) โดยจะอธิบายคุณลักษณะ (characteristics) ของ Panel แต่ละประเภทก่อนนะครับ ส่วน matrix เปรียบเทียบและแหล่งที่มาของข้อมูลจะอยู่ในส่วนท้ายของโพสท์นี้ครับ ถ้าเห็นว่ามีข้อมูลส่วนไหนผิดพลาด หรือไม่ถูกต้อง สามารถ challenge ได้เลยนะครับ แล้วผมจะแก้ไขให้ครับ จะได้ทำให้บทความนี้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยครับ
ขอดู feedback จากบทความนี้ก่อนนะครับ ถ้ามีคนสนใจ ผมจะรวบรวมความรู้เกี่ยวกับ LCD backlight มาฝากครับ
หมายเหตุ: ข้อความที่เป็ํนตัวหนา และขีดเส้นใต้ เป็น hyperlink นะครับ สามารถคลิกเข้าไปดูรายละเอียดได้ครับ
-----------------------------------------------------
ความรู้เกี่ยวกับ LCD Panel ประเภทต่างๆ
TFT Technology break down by mrzane
TN Panel
TN + film หรือชื่อเต็มว่า “Twisted Nematic + film” เป็นประเภทของ LCD Panel ที่มีการผลิต และใช้งานอย่างแพร่หลายที่สุด เนื่องจากต้นทุนในการผลิตที่ต่ำ และความสามารถในการตอบสนองของการเปลี่ยนสี (response time of color transitions) ที่รวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยง effects อันไม่พึงประสงค์ต่างๆ เช่น shadow trails และ ghosting artifacts
Response time ที่รวดเร็ว จึงเป็นจุดขายของ TN panel มาตลอด ถึงแม้ว่าตัวเลขที่โฆษณาเหล่านั้นจะไม่สะท้อนถึง response time ทั้งหมดที่เป็นไปได้ของทุกช่วงสีก็ตาม
มาตรฐานในการวัด Response time สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 มาตรฐาน ได้แก่:
- ISO Response time - กำหนดไว้ว่า ค่า response time ควรแสดงถึงตัวเลขของความหน่วงในการเปลี่ยนสีจากสีดำไปสีขาว (black-to-white transition)
- RTC (Response Time Compensation – Overdrive) – เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ผลิต LCD สามารถลดความหน่วงของการเปลี่ยนเฉดสีเทาจากเฉดหนึ่งไปยังอีกเฉดหนึ่ง (grey to grey: G2G) ซึ่งเป็น scenario ที่เกิดขึ้นบ่อยจากการใช้งานจริง
ด้วย response time ที่ดี และต้นทุนการผลิตที่ไม่สูง จึงทำให้ TN Panel ครองตลาดส่วนใหญ่ในปัจจุบัน (อ้างอิงจาก Wikipedia)
อย่างไรก็ตาม TN Panel มีข้อเสียในเรื่องของมุมมองการรับชมที่ค่อนข้างจำกัด โดยเฉพาะมุมมองการรับชมในแนวตั้ง และ TN Panel หลายๆ ตัวสามารถแสดงผลได้ 6 บิทต่อ 1 สี (6 bits per color) แทนที่จะเป็นแบบ 8 บิทต่อ 1 สี ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ TN Panel แบบ 6 บิทไม่สามารถแสดงสีได้ถึง 16.7 ล้านสีได้ (16.7 ล้านสี หรือ 24-bit truecolor) และเมื่อนำ panel เหล่านี้มาต่อกับ source ที่เป็น true color มันจะจำลอง (interpolate) เฉดสีอื่นๆ ที่มันไม่สามารถแสดงได้ขึ้นมาโดยการใช้เทคนิค dithering ซึ่งเป็นการรวมเอาพิกเซลที่อยู่ใกล้เคียงกันมาคำนวณและจำลองสีที่ต้องการออกมา
พูดโดยรวมแล้ว ความสมจริงของสีที่ TN Panel ที่ใช้ backlight แบบ CCFL (Cold Cathode Fluorescent Lamps) สามารถแสดงได้นั้นค่อนข้างน้อย โดยทั่วไปแล้วสามารถทำได้เพียง 40% - 76% ของช่วงสี NTSC ทั้งหมด (percentage of the NTSC 1953 color gamut) เท่านั้น แต่อย่างไรก็ดี TN Panel ที่ใช้ LED Backlight สามารถแสดงเฉดสี NTSC ได้ทั้งหมด ซึ่งความแตกต่างนี้สามารถสังเกตเห็นด้วยตาเปล่าได้อย่างชัดเจน
การแสดงสีของ TN Panel ในมุมมองต่างๆ – เครดิตภาพ Vincent Alzieu of BeHardware.com
IPS Panel
IPS (in-plane switching) ถูกพัฒนาขึ้นโดยฮิตาชิ ในปี 1996 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงข้อเสียของ TN panel ในแง่ของมุมมองการรับชมและความสามารถในการแสดงสี
IPS panel เกือบทั้งหมดสนับสนุนการแสดงสีแบบ 8 bit (True color) ซึ่งการปรับปรุงเหล่านี้นำมาซึ่ง response time ที่สูงขึ้น (50ms สำหรับ IPS Panel รุ่นแรกๆ) และที่สำคัญ IPS Panel มีราคาที่สูงมาก ต่อมาไม่นาน IPS ได้ถูกแทนที่ด้วย S-IPS (หรือ Super-IPS, Hitachi; 1998) โดยยังคงคุณสมบัติของ IPS ไว้ทุกประการ แต่ได้ปรับปรุง response time (pixel refresh timing) และถึงแม้ว่า S-IPS จะมีคุณสมบัติในการแสดงสีได้เทียบเท่าจอแบบ CRT ก็ตาม แต่มิติของสี (dynamic range) ก็ยังต่ำกว่าจอแบบ CRT อยู่มาก
ผู้ผลิต IPS Panel รายใหญ่ในปัจจุบันคือ LG และ Philips
IPS Panel ยังได้ถูกพัฒนาต่อยอดออกมาอีกหลายประเภท ดังนี้:
- AS-IPS – Advanced Super IPS ถูกพัฒนาโดยฮิตาชิในปี 2002 โดยได้รับการปรับปรุง contrast ratio ให้ดีขึ้น ซึ่ง AS-IPS panel ได้ถูกใช้โดยจอของ NEC
- A-TW-IPS – Advanced True White IPS, พัฒนาโดย LG Philips ให้กับ NEC โดย Panel ชนิดนี้ได้รับการปรับปรุงโดยเพิ่ม color filter เพื่อให้สีขาวดูเป็นธรรมชาติมากขึ้น และเพิ่ม color gamut ให้ใกล้เคียงกับจอ CRT มากขึ้น จึงมีการนำ Panel ประเภทนี้ไปใช้กับจอ LCD สำหรับมืออาชีพที่ทำงานด้านภาพถ่ายที่ต้องการความแม่นยำของสีสูง
- H-IPS – เป็นอีกหนึ่ง panel ที่พัฒนาต่อยอดมาจาก IPS โดยได้รับการปรับปรุงเรื่อง Backlight bleeding, เรื่องสีออกโทนม่วงเวลามองจากมุมด้านข้าง และลด noise ลงด้วย แต่การปรับปรุงเหล่านี้ก็ทำให้มุมมองในการรับชมแคบลงกว่าเดิม
ตารางแสดงพัฒนาการของ Panel แบบ IPS – เครดิต wikipedia
การแสดงสีของ IPS Panel ในมุมมองต่างๆ -- เครดิตภาพ Vincent Alzieu of BeHardware.com
MVA Panel
MVA (Multi-domain vertical Alignment) เริ่มต้นถูกพัฒนาขึ้นในปี 1998 โดยฟูจิตสึ โดยมีจุดประสงค์เพื่อผลิต Panel ที่รวบรวมข้อดีของ TN กับ IPS เข้าด้วยกัน โดยแรกเริ่มที่พัฒนานั้นนั้น MVA มี response time ที่ค่อนข้างดี, มุมมอง (viewing angle) ที่กว้าง และคอนทราสต์ที่สูง ในขณะที่ความสว่าง (brightness) และความสามารถในการแสดงสีสมจริงทำได้ไม่ค่อยดีนัก
MVA Panel รุ่นใหม่ๆ สามารถให้มุมมองภาพที่กว้างขึ้น (เป็นรอง IPS Panel เท่านั้น) สามารถแสดงสีดำที่ดำสนิท และสีอื่นๆ ได้สมจริง และยังมี response time ที่รวดเร็ว เนื่องจากมีการนำ RTC Technology ของ TN panel มาประยุกต์ใช้ MVA Panel รุ่นใหม่ๆ เหล่านี้ได้ถูกนำไปพัฒนาต่อยอดโดยหลายๆ บริษัท และถูกเรียกชื่อต่างๆ กันไป เช่น P-MVA, A-MVA และ S-MVA
MVA Panel ส่วนใหญ่แล้วจะเป็น Panel แบบ 8 bit ซึ่งสามารถแสดงสีได้ถึง 16.7 ล้านสี แต่ในบางรุ่น เพื่อลดต้นทุนการผลิต ก็สามารถใช้ 6 bit panel และใช้เทคนิค dithering แบบ TN panel ได้เช่นเดียวกัน
นักวิเคราะห์หลายๆ รายได้ทำนายว่า MVA Panel น่าจะครองตลาดส่วนใหญ่ของ Panel ได้ทั้งหมด แต่ในความเป็นจริงแล้ว กลับกลายเป็นว่า TN Panel (ซึ่งมี response time ที่ดีกว่าเพียงเล็กน้อย) กลับได้ครองตลาดส่วนนี้ไป และด้วยข้อจำกัดของ MVA Panel เองที่ว่า เมื่อผู้ผลิตเพิ่มความสว่าง (brightness) ขึ้น จะทำให้ response time สูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้ MVA Panel ยังทำได้ไม่ดีเท่ากับ TN Panel ในแง่ของยอดขาย
PVA Panel
PVA (Patterned Vertical Alignment) และ S-PVA (Super Patterned Vertical Alignment) พัฒนาโดยแซมซัง (Samsung: ซัมซุง) เป็นอีกเวอร์ชันหนึ่งของ MVA Panel ที่ Samsung นำไปพัฒนาอย่างอิสระ ซึ่ง (S)PVA Panel นี้มีคุณสมบัติคล้ายกับ MVA Panel แต่สามารถให้ contrast ratio ที่สูงถึง 3000:1
S-PVA Panel จะใช้ Panel ที่เป็น 8 bit ขึ้นไป (Eizo ใช้ S-PVA Panel แบบ 10 bit) จึงสามารถแสดงสีได้สมจริงโดยไม่ต้องใช้เทคนิค dithering นอกจากนั้น PVA และ S-PVA ยังสามารถแสดงสีดำได้สมจริง มีมุมมองการรับชมที่กว้าง และ response time ที่ดีอีกด้วย (โดยการใช้ RTC Technology ที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้น) แต่ถ้าในกรณีที่ผู้ผลิตต้องการลดต้นทุนการผลิต ก็สามารถใช้ PVA Panel แบบ 6 bit และใช้เทคนิค dithering ได้เช่นเดียวกัน
CPA Panel
CPA (Continuous Pinwheel Alignment) ถูกพัฒนาโดยชาร์ป โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า Reserve TN Technology ซึ่งทำให้ได้ Panel ที่แสดงสีได้สมจริง มีมุมมองที่กว้าง และ response time ต่ำ ซึ่งชาร์ปเชื่อว่าเทคโนโลยีของตนนั้นเหนือกว่า TN, x-IPS และ xVA อยู่มากทีเดียว
แหล่งอ้างอิง: Development of High-Performance ASV-LCDs Using Continuous Pinwheel Alignment (CPA) Mode
Matrix เปรียบเทียบคุณสมบัติ และข้อดี/ข้อเสียของ LCD Panel ในแบบต่างๆ (คลิกที่รูปเพื่อขยายนะครับ)
แหล่งอ้างอิง/See also:
Wikipedia: Thin film transistor liquid crystal display
Wikipedia: Liquid crystal display
PCHardwareHelp: LCD Panel Technology Explained
ZD Net: How LCD makers lie to you about viewing angles
X-Bit Labs: LCD Monitors Buyer's Guide: Fall 2007
Coding Horror: Not All LCD Panels Are Created Equal
Sharp: Development of High-Performance ASV-LCDs Using Continuous Pinwheel Alignment (CPA) Mode
Edited by mrzane, 14 November 2008 - 09:54 AM.