`

Jump to content









Photo

You'll Never Walk Alone (Update)



Posted Image




........เข้าไปแล้วครับ ลิเวอร์พูลนำแล้วครับ ผมเชื่อได้เลย ร้อยทั้งร้อย ของสาวกหงส์แดง

เมื่อได้ยินประโยคนี้จากผู้บรรยายเป็น อันต้องกระโดด โลดเต้นกันทุกคน ไม่ว่าการแข่งขันนั้น จะเจอกับทีมเล็กทีมใหญ่ หรือ รายการไหนก็แล้วแต่

มันคือเสียงแห่งความสุข ความยินดี ของเหล่าสาวกหงส์แดง


........โอ้วววววไม่น่าเลยครับเสียง่ายๆแบบนี้ กองหลังพลาดอีกแล้ว ก็อีกนั่นละ ร้อยทั้งร้อย ของสาวกหงส์แดง

หลังสิ้นสุดประโยคนี้จากผู้บรรยาย ทุกคนต้องสบถคำกร่นด่า ต่างๆนาๆ ออกมาเสมอ หงส์แดง พร้อมที่จะชนะให้กับทุกทีม และ พร้อมที่จะแพ้ให้กับทุกทีมเช่นกัน

ดังนั้น ใครเชียร์ทีมนี้ ก่อนแข่งขัน โปรดพกคำว่า ทำใจ ก่อนเชียร์ทุกครั้ง



ทุกๆครั้งที่ทีมแพ้ เช้าวันรุ่งขึ้น ผมว่าแทบทุกคน ที่เชียร์ หงส์แดง แทบไม่อยากไป ทำงาน ไปเรียน เพราะอะไรน่าจะรู้กัน ไปแล้วคงต้องเจอกับคำสบประมาท

ต่างๆนาๆ แต่ตรงกันข้าม ถ้าอีกทีมที่เป้นคู่กัดเรา แพ้ เราก็อยาก จะรีบตื่นแต่เช้าไปทำงานหรือเรียน เพื่อที่จะเอาคืนเหมือนกัน นี่ละเกมนอกสนาม สงครามน้ำลาย :o_shout:

คงไม่มีใครจะถามผมแน่ๆ ว่าผมเขียน Blog นี้ขึ้นมาทำไม ไม่มีใคถามแต่ผมก็จะตอบ ก็เพราะ ก็แค่......อยากจะเขียน

ผมเป็นคนที่สื่อสารทางตัวหนังสือให้คนเข้าใจไม่เก่ง ถนัดนั่งพูดคุยมากกว่า ดังนั้นคงจะไม่บรรยายความรู้สึก ต่อทีมนี้ผ่านตัวหนังสือหรอก ขอเาแค่ประวัติ มาลงก็พอ

ซึ่งหลายๆคนอาจจะรุ้กันแล้ว แต่ก็ทำเก็บไว้เป็นข้อมุลละกันครับ




.....ประวัติศาสตร์หน้าแรกของ สโมสร ลิเวอร์พูล ต้องบันทึกว่า ก่อเกิดจาก เอฟเวอร์ตัน สโมสรคู่ปรับประจำเมืองตลอดกาล

โดยเกิดจากการแตกแยกกันของผู้บริหารนั่นเอง แต่เราจะย้อนถึงอดีต ก่อนที่จะถึงการกำเนิดของ Everton FC. เสียด้วย

เมื่อเทศมนตรีเมืองได้มีมติอนุมัติ สร้างโบสถ์หลังใหม่ และโรงเรียนวันอาทิตย์ แทนโบสถ์เก่า 3 หลัง ของเมืองทีมีสภาพที่ทรุดโทรม

และก็ได้ข้อสรุป คือ สร้างที่ ถนน.เบร็ดฟิลด์ นอร์ธ เขต Everton ในเดือน พฤษภาคม 1870 โดยมีขื่อว่า เซนต์ โดมิงโก

ซึ่งเป็นศาสนสถานที่ของชาวคริสต์ ในเมืองลิเวอร์พูล โดยเฉพาะวันอาทิตย์

โบสถ์แห่งนี้ เป็นแหล่งชุมชนของ ชนชั้นกลางและกรรมกร และต่างก็มีกิจกรรมร่วมกัน คือ กีฬา นั้นเองและก็ทำให้ชื่อเสียงของ โบสถ์ เซนต์ โดมิงโก

เป็นที่แพร่หลาย เริ่มจากทีม คริกเก็ต ของ นักเรียนโรงเรียน เซนต์ โดมิงโก ซึ่งสามารถชนะทุกทีมที่แข่ง

เป็นจุดเริ่มของการรวมพลเชียร์ แต่ทว่า คริกเก็ต เป็นกีฬาช่วง หน้าร้อนเท่านั้น แต่ยังคงมีกีฬา เบสบอล ที่จะว่าเป็นที่นิยมมากในขณะนั้น

เด็กๆ ได้ร้องขอคณะสงฆ์ ขอจัดตั้งทีมฟุตบอล (สมัยก่อนไม่มีใครนิยมเล่นกีฬาชนิดนี้ ) แต่เป็นกีฬา รักบี้ ที่เป็นที่นิยมกันมาก

แต่คณะสงฆ์ก็ได้อนุมัติให้จัดตั้งทีม ฟุตบอล โดยใช้ชื่อว่า สโมสร เซนต์ โดมิงโก ในปี 1878 ในยุคนี้ 1878 - 1886

มีสโมสรฟุตบอลเกิดขึ้นมากกว่า 150 สโมสร และ สโมสร เซนต์ โดมิงโก ได้สร้างความประทับใจให้กับ แฟนบอลเมือง ลิเวอร์พูล

และสโมสรแห่งนี้ก้ได้กลายมาเป็น Everton FC. ในเวลาต่อมา


.....จากการบันทึกพบว่า เอฟเวอร์ตัน ลงแข่งฟุตบอลอย่างเป็นทางการ ครั้งแรกพบกับ เซนต์ ปีเตอร์ส

เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 1879 และก็คว้าชัยได้ด้วย ต่อมาปี 1880 เอฟเวอร์ตัน เข้าร่วมฟุตบอล ลีก ของสมาคม แลงคาเชียร์ ซึ่งต้องพบกันทีมต่างๆเช่น

โบลตัน หรือ เบอร์เคนเฮด แต่สนามเหย้าของ เอฟเวอร์ตัน ขณะนั้นก็คือ สวนสาธารณะ Stanley Park ต่อมาสมาคมฟุตบอล แลงคาเชียร์

ออกกฏว่า ทุกทีมต้องมีสนามเหย้า เป็นของตัวเอง ทำให้ Everton ต้องประชุมด่วนที่ โรงแรม แซนดอน ซึ่งโรงแรมนี้เป็นของ จอหน์ โฮลดิ้ง


.....JOHN HOULDING นายกเทศมนตรีเมือง ลิเวอร์พูล นักการเมืองพรรคอนุรักษ์นิยม เป็นผู้ก่อตั้งสโมสร

" LIVERPOOL FC. " และ " EVERTON FC. "

โฮลดิ้ง เป็นผู้คลั่งไคล้ในกีฬาลูกหนังเป็นอย่างมาก เขายังมีตำแหน่งเป็น นายกเทศมนตรี เมือง ลิเวอร์พูล พรรคอนุรักษ์นิยม

และเขาก็สามารถผลักดันให้ใช้ ที่ว่าง ถนนเพอรี่ย์ สร้างสนามฟุตบอล โดยมีการจ่ายค่าเช่าตอบแทน จากนั้นไม่นาน เจ้าของที่ก็ต้องการที่ดินคืน

ทำให้ จอหน์ ต้องติดต่อกับ จอหน์ โอร์เรล ให้กับ เอฟเวอร์ตัน เช่าที่ราคาถูก และในวันที่ 28 กันยายน 1884 เอฟเวอร์ตัน ได้แข่งนัดแรกที่ Anfield

โดยชนะ เอิร์ลสทาวน์ ด้วยสกอร์ 5 - 1

นานวันเข้า เอฟเวอร์ตัน ก็เป็นทีมประจำเมือง ลิเวอร์พูล โดยปริยาย จอหน์ โฮลดิ้ง ได้สร้างอัฒจรรย์เพิ่ม แฟนบอลต่างเข้ามาชมกันมากขึ้น

กว่า 8,000 คน จนกระทั่งในปี 1888 ได้จัดให้มีสมาคมฟุตบอลอังกฤษ( F.A.) และระบบนักเตะอาชีพก็เกิดขึ้น ในปี 1885

โดยช่วงแรกนักเตะจะได้รับค่าจ้าง 3 ปอนด์/สัปดาห์ และก็มีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอีกก็คือ บรรดากรรมกรในเมืองลิเวอร์พูล ได้เรียกร้อง

ให้มีการหยุดเพิ่มขึ้นจากเดิม วันอาทิตย์ 1 วัน ขอหยุดเพิ่มในช่วงบ่ายของวันเสาร์

(ในสมัยก่อน ลิเวอร์พูล เป็นเมืองท่าสำคัญ และอุตสาหกรรมการต่อเรือ ของอังกฤษ มีกรรมกรทำงานที่นี่เยอะมากๆ )

สโมสร Everton ที่รุ่งเรือง ก็มีจุดเปลี่ยนจนได้เมื่อ จอหน์ โอร์เรล เจ้าของที่เพื่อนซื้ของ โฮลดิ้ง ได้ยกเลิกที่จะให้เช่าสนาม Anfield

หลังจากที่เป็นของ Everton กว่า 7 ปี แต่ โฮลดิ้งก็พยายามที่จะขอซื้อ แต่ โอร์เรล ก็โก่งราคาสูงมากๆ โดย จอหน์ โฮลดิ้ง ต้องการ Anfield

แห่งนี้เป็นของ Everton แต่สมาชิก 279 คนไม่ยอม และก็เกิด จุดแตกหักกันได้ก็คือ 15 มีนาคม 1892 เอฟเวอร์ตัน ได้ย้ายไปที่สนามใหม่ก็คือ

xxxดิสันปาร์ค และปล่อยให้ Anfield ล้างมีแต่สนามเปล่าๆ กับ อัฒจรรย์โล้นๆ และจอหน์ โฮลดิ้ง กับ จอหน์ โอร์เรล (เจ้าของที่ว่างเปล่า)

ดูเหมือนว่า เอฟเวอร์ตัน จะไปได้สวยกับสนามแห่งใหม่ ขณะที่ Anfield ไม่มีอะไรที่ดีขึ้นเลย แต่ทว่า โฮลดิ้ง ไม่ยอมแพ้

เขาสร้างทีมฟุตบอลใหม่และก็ได้ตั้งชื่อสโมสรว่า LIVERPOOL FC. ตามชื่อเมืองนั่นเอง


ในปี 1892 LIVERPOOL FC. ก็อยู่ที่สนาม Anfield และถือกำเนิดขึ้นมาในปี 1892 นี้เอง (EST.1892)

และจอหน์ โฮลดิ้ง ก็ได้พยายามขอจัดตั้งสโมสรฟุตบอล โดยขอสมัครเป็นสมาชิกกับ สมาคมฟุตบอล แต่เขาก็รู้ว่าต้องไม่ได้อย่างแน่นอน

เพราะยังเป็นสโมสรใหม่อยู่ แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ เขาได้พบกับ จอหน์ แม็คแคนน่า ผู้รู้ใจเพื่อนสนิทชาว ไอริช ซึ่ง แม็คแคนน่า

เป็นคนที่คลั่งไคล้ฟุตบอลมาก และเขาเคยเป็นอดีตนักรักบี้เก่าด้วย


ยุคก่อตั้งสโมสร

หลังจากที่สโมสรลิเวอร์พูลก่อตั้งได้ไม่นาน ได้จัดการแข่งขัดนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งเป็นการลงสนามนัดแรกของทีมลิเวอร์พูลกับทีมร็อตเตอร์แฮม

ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่า ทีมลิเวอร์พูลชนะไปด้วยผลการแข่งขัน 7-1 และลิเวอร์พูล ได้ลงแข่งขันฟุตบอลลีกของแคว้น แลงคาเชียร์

ปรากฏว่าลิเวอร์พูลลงแข่งทั้งหมด 22 นัด ชนะ 17 นัด และได้แชมป์ไปครอง ส่งผลให้ทางสโมสรสามารถสมัครเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลลีก

ซึ่งได้รับการยอม รับและถูกคัดเลือกให้ลงเล่นในดีวิชั่น 2 ในฤดูกาล 1893-1894 สโมสรจึงได้เลือกสัญลักษณ์ของทีมเป็น

นกลิเวอร์เบิร์ด ( Liverbird ) ซึ่งเป็นนกแถบทะเลไอริช บริเวณแม่น้ำเมอร์ซี่ย์ โดยที่ปากนกคาบใบไม้ไว้

ทีมลิเวอร์พูลได้ลงทำการแข่งขันอย่างเป็นทางในฟุตบอลลีก ดิวิชั่น 2 ในวันที่ 2 กันยายน ค.ศ. 1893

โดยทีมลิเวอร์พูลออกไปเยือนทีมมิดเดิลส์โบรซ์ ไอโรโนโปลิส และทีมลิเวอร์พูลสามารถได้แชมป์มาครอง

โดยที่ไม่แพ้ทีมใดเลยตลอดทั้งฤดูกาล ( ทั้งหมด 28 นัด ) แต่การคว้าแชมป์ลีกดิวิชั่น 2 ในตอนนั้นยังไม่ได้เลื่อนชั้นโดยทันที

ต้องไปแข่งนัดชิงดำกับทีมอันดับสองก่อน โดยทีมอันดับสองในขณะนั้นคือ ทีมนิวตัน ฮีธ ( ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในปัจจุบัน )

และลงแข่งขันที่สนามของทีมแบล็คเบิร์น ซึ่งทีมลิเวอร์พูลเอาชนะทีมนิวตัน ฮีธไปด้วยผล 2-0 และได้เลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1 ในที่สุด


เดอะ ค็อป เป็นชื่อที่ใช้เรียกตามชื่อของเนินเขาแห่งหนึ่งใน นาทาล ประเทศแอฟริกาใต้

ซึ่งคนท้องถิ่นจะรู้จักกันในนาม สปิออน ค็อป โดยเกิดเหตุการณ์การทำสงครามบัวร์ขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1900 อังกฤษได้ ส่งทหารไปกว่า 300 นาย

โดยส่วนใหญ่เป็นชาวเมืองลิเวอร์พูล แต่แล้วในสงครามนั้นเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้นคือ อังกฤษได้เสียทหารไปเกินกว่าครึ่ง

เพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น นักข่าวกีฬาของหนังสือพิมพ์ลิเวอร์พูลเดลี่โพสต์ ชื่อ เออร์เนสต์ เอ็ดเวิร์ตส์ จึงเสนอชื่อ สปิออน ค็อป

ตามชื่อของเนินเขาลูกนั้น เป็นชื่อของอัฒจันทร์หลัง ประตูในการสร้างสนามใหม่ขึ้นมา เพื่อเป็นเกียรติในความกล้าหาญของทหารอังกฤษทั้ง 300 นาย

ซึ่งต่อมาอัฒจันทร์แห่งนี้ได้กลายอัฒจันทร์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกของ ฟุตบอลแห่งหนึ่ง. ในปี ค.ศ. 1928 ได้มีการต่อเติมอัฒจันทร์แห่งนี้ใหม่

และเมื่อใดเมื่อมีการแข่งขันฟุตบอลของทีมลิเวอร์พูลขึ้น คนที่ไปดูการแข่งขันของทีมบนอัฒจันทร์จะเรียกตัวเองว่า เดอะ ค็อป (The Kop)

และแล้วจากเหตุการณ์โศกนาฎกรรมที่สนามฮิลส์โบโร่ ในปี ค.ศ. 1989 ซึ่งเกิดการถล่มของอัฒจันทร์ขึ้น ทำให้มีผู้เสียชีวิตไป 96 คน

จึงมีคำสั่งให้ทุกสนามเปลี่ยนจากอัฒจันทร์ยืนเป็นแบบนั่งทั้งหมด และนั่นเป็นการปิดฉากของอัฒจันทร์ สปิออน ค็อป อัฒจันทร์แบบยืนที่มีความยิ่งใหญ่แห่งหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตาม ก็มีอัฒจันทร์ใหม่ขึ้นมาและใช้ชื่อว่า นิว ค็อป ซึ่งความหมายต่าง ๆ ยังคงเหมือนเดิม แม้ชื่ออัฒจันทร์จะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม

นิว ค็อป ยังคงมีกลิ่นอายของประวัติเหล่านั้นอยู่เต็มเปี่ยม

รอยมลทิน

ในปี 1914-1915 ประวัติศาสตร์ต้องจารึกอีกครั้งเมื่อทีมลิเวอร์พูลและทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพากันล้มบอลเพื่อที่ทีมจะได้ไม่ตกชั้น

โดยตอนนั้นทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องชนะทีมลิเวอร์พูล หลังการแข่งขันผลปรากฏว่าทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชนะทีมลิเวอร์พูล 2-0

ทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดรอดพ้นจากการตกชั้นแต่ไม่รอดพ้นจาการสอบสวนจากฟุตบอลลีก 8 นักเตะจากทั้งสองทีมดังโดนห้ามแข่งตลอดชีวิต

ในเวลาต่อมาเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 หลังสงครามโลกโทษต่างๆถูกยกเลิกเหตุผลเพราะว่าทีมต้องฟื้นฟู ซึ่งตอนนั้นประธานฟุตบอลลีกอังกฤษ

คือ จอห์น แมคเคนน่า ( อดีตประธานสโมสรลิเวอร์พูล ) เป็นผู้ที่มีส่วนผลักดันให้โทษแบนเป็นโมฆะด้วย

รากฐานความสำเร็จ

ในช่วงทศวรรษที่ 20-50 ทีมลิเวอร์พูลยังไม่ใช่ทีมที่ยิ่งใหญ่ มีผลงานขึ้นๆลงๆระหว่างดิวิชั่น 1 กับดิวิชั่น 2 อยู่ประจำ จนถึงปี 1945

สงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลงทีมลิเวอร์พูล ได้ผู้จัดการทีมชื่อ จอร์ช เคย์ เพียงปีเดียว เคย์ ก็สามารถนำทีมลิเวอร์พูลเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1

หลังจากนั้นทีมลิเวอร์พูลก็ขึ้นๆลงๆระหว่างดิวิชั่น 1 กับดิวิชั่น 2 อีกครั้ง จนปี 1954 ทีมลิเวอร์พูลต้องลงไปเล่นดิวิชั่น 2 และครั้งนี้อยู่นานกว่าปกติ

ผู้จัดการทีมหลายต่อหลายคนไม่อาจพาทีมกลับมาดิวิชั่น 1 ได้ จนกระทั่งการมาของผู้จัดการทีมที่ชื่อว่า บิลล์ แชงค์ลี่ย์

ทีมลิเวอร์พูลได้ลงไปเล่นในดิวิชั่น 2 นานถึง 7 ฤดูกาล โดยเป็นยุคของแชงค์ลี่ย์ 2 ฤดูกาล ก่อนที่แชงค์ลี่ย์จะพาทีมเลื่อนชั้นสู่ดิวิชั่น 1

ในฐานะแชมป์ดิวิชั่น 2 ในปี 1962 ปรัชญาการทำทีมของแชงค์ลี่ย์ คือ ฟุตบอลง่ายๆ เน้นการผ่านและรับบอลอย่างแม่นยำ

เล่นกันเป็นทีมมากกว่าความสามารถเฉพาะตัว ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของทีมจวบจนปัจจุบัน


ไร้เทียมทาน

หลังจากที่อังกฤษได้แชมป์โลก บิลล์ แชงค์ลี่ย์ ได้พาทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์ยูฟ่า คัพ ในปี 1972 และในปีถัดมา(ปี 1973) บิลล์ แชงค์ลี่ย์

ประกาศลาออกจากตำแหน่ง โดยมีบ๊อบ เพสลี่ย์ มือขวาของเขาก้าวขึ้นมารับงานแทน เขาใช้เวลาเพียง 4ปี ก็พาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ

เป็นครั้งแรกได้สำเร็จ ในปีต่อมาเพสลี่ย์ได้พาทีมประกาศศักดาอย่างยิ่งใหญ่โดยการพาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ ( แชมป์ดิวิชั่น 1 และแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ )

จากนั้นเพสลี่ย์ก็ยังพาทีมคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ได้อีก 2 ครั้ง คือในปี 1981 และ 1984 ก่อนที่เค้าจะลาออกจากตำแหน่ง


โศกนาฏกรรม

หลังจากที่เพสลี่ย์ลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ผู้ที่เข้ามารับหน้าที่ต่อจากเขาคือ โจ เฟแกน

ในระยะเวลาเพียงปีเดียวเขาได้พาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงถ้วยยูโรเปี้ยน คัพกับทีมยูเวนตุสที่สนามเฮย์เซล สเตเดี้ยม

ในกรุงบรัสเซลล์ประเทศเบลเยี่ยมโดยที่ยูเวนตุสเป็นฝ่ายชนะทีมลิเวอร์พูล 1-0 จากจุดโทษของมิเชล พลาตินี่

แต่ในการแข่งขันครั้งนี้ได้เกิดโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น ทำให้แฟนบอลเสียชีวิต 39 คน เฟแกนจึงตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีม ทำให้

เคนนี่ ดัลกลิช ซึ่งเป็นผู้เล่นในขณะนั้นก้าวขึ้นมาเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมเป็นคนแรกของสโมสร และในปีแรกเขาก็พาทีมคว้าดับเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ

แต่ตอนนั้นลิเวอร์พูลไม่ได้ไปเล่นถ้วยยุโรปอันเนื่องมาจากถูกแบนจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งนั้นนั่นเอง

ความหวังและการรอคอย..

เมื่อ ดัลกลิช ลาออกจากตำแหน่ง ดูเหมือนว่าลิเวอร์พูลจะไม่ประสบความสำเร็จในลีกสูงสุดอีกเลยนับตั้งแต่ปี 1990

เป็นต้นมาแม้จะเปลี่ยนผู้จัดการทีมอีกสองคนไม่ว่าจะเป็น รอย อีแวนส์ หรือเชราร์ อุลลิเยร์ ถึงแม้ว่าอุลลิเยร์จะพาทีมคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ในปี 2001

( ลีก คัพ,เอฟเอ คัพและยูฟ่า คัพ ) ก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ความสำเร็จที่แฟนบอลรอคอยสักเท่าไหร่

หลังจากที่อุลลิเยร์ โดนปลดจากตำแหน่ง ลิเวอร์พูลได้ผู้จัดการทีมคนใหม่ คือ ราฟาเอล เบนิเตช กุนซือชาวสเปนผู้นี้

เป็นผู้ที่แฟนบอลได้ฝากความหวังไว้เป็นอย่างมาก (ข้อความต่อไปนี้ผม indyhell เขียนต่อครับ) แต่ราฟา ก็ไม่สามารถ

พาแฟนบอลของ หงส์แดงไปสู่ความหวังได้ ซึ่งตอนนี้ ราฟาออกจากแอนฟิลไปคุม อินเตอร์ แฟนบอลทั้งหลายจึงฝากความให้กับ ผู้มาใหม่ นั่นคือ

รอย ฮอสัน เขาผู้นี้ จะพา หงส์แดงเดินทางเป็นเช่นไร ก็ต้องติดตามต่อๆกันไป ซึ่งอีกไม่กี่เดือน จะเปิด ฤดูกาลแล้ว



รางวัลเกียรติยศ

ดิวิชั่น 1 : 1900-01, 1905-06, 1921-22, 1922-23, 1946-47, 1963-64, 1965-66, 1972-73, 1975-76, 1976-77, 1978-79, 1979-80, 1981-82, 1982-83, 1983-84, 1985-86, 1987-88, 1989-90

เอฟ เอ คัพ: 1965, 1974, 1986, 1989, 1992, 2001,2006.

ลีก คัพ: 1981, 1982, 1983, 1984, 1995, 2001, 2003.

ยูโรเปี้ยนคัพ: 1977, 1978, 1981, 1984, 2005.

ยูฟ่า คัพ: 1973, 1976, 2001.

ยูโรเปี้ยน ซูเปอร์คัพ: 1977, 2001 , 2005.

แชริตี้ ชิลด์: 1964 (แชมป์ร่วม), 1965 (แชมป์ร่วม), 1966, 1974, 1976, 1977 (แชมป์ร่วม), 1979, 1980, 1982, 1986 (แชมป์ร่วม),1988, 1989, 1990 (แชมป์ร่วม), 2001.

สกรีน สปอร์ต ซูเปอร์ คัพ: 1987.

ดิวิชั่น 2: 1893-94, 1895-96, 1904-05, 1961-62.

แลงคาเชียร์ ลีก: 1892-93.

ลิเวอร์พูล ซีเนียร์ คัพ: 1893, 1901, 1902, 1903, 1905, 1907, 1909,1910 (แชมป์ร่วม), 1912 (แชมป์ร่วม), 1913, 1915, 1920, 1925, 1927, 1929, 1930, 1936 (แชมป์ร่วม), 1937, 1939, 1942, 1943, 1946, 1947, 1948, 1951, 1952, 1962, 1964 (แชมป์ร่วม), 1968, 1977, 1980, 1981, 1982 (แชมป์ร่วม), 1997, 1998, 2002, 2004.

ลีกทีมสำรอง: 1956-57, 1968-69, 1969-70, 1970-71, 1972-73, 1973-74, 1974-75, 1975-76, 1976-77, 1978-79, 1979-80, 1980-81, 1981-82, 1983-84, 1984-85, 1989-90, 1999-00.

เอฟ เอ ยูธ คัพ: 1996.

ซูเปอร์ คัพ : 1985-86

คาร์ลส์เบิร์ก โทรฟี่ : 1997-98, 1998-99, 1999-2000

นักเตะแห่งปีของยุโรป:
2001 ไมเคิล โอเว่น

ผู้เล่นแห่งปีนักข่าวอังกฤษ:
1974 เอียน คัลลาแกน
1976 เควิน คีแกน
1977 เอมลีย์น ฮิวส์
1979 เคนนี่ ดัลกลิช
1980 เมอร์รี่ แม็ตเดอร์ม็อตต์
1983 เคนนี่ ดัลกลิช
1984 เอียน รัช
1988 จอห์น บาร์นส์
1989 สตีฟ นิโคล
1990 จอห์น บาร์นส์

ผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีสมาคมฟุตบอลอาชีพ (พีเอฟเอ):
1980 เทอร์รี่ แม็ตเดอร์ม็อตต์
1983 เคนนี่ ดัลกลิช
1984 เอียน รัช
1988 จอห์น บาร์นส์

นักเตะดาวรุ่งแห่งปีสมาคมฟุตบอลอาชีพ:
1983 เอียน รัช
1995 ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
1996 ร็อบบี้ ฟาวเลอร์
1998 ไมเคิล โอเว่น
2001 สตีเว่น เจอร์ราร์ด

ผู้จัดการทีมแห่งปี:
บิล แชงคลีย์ 1973
บ็อบ เพลสลีย์ 1976, 1977, 1979, 1980, 1982, 1983
โจ เฟแกน 1984
เคนนี่ ดัลกลิช 1986, 1988, 1990

มาดูแมทช์แห่งความทรงจำกันครับ (สำหรับผม)

Liverpool v AC Milan Champions League Final 2005

Liverpool v West Ham FA Cup Final 2006

Liverpool V Arsenal FA Cup Final 2001

Liverpool VS ChelseaUEFA Champion League Leg2 2009

Liverpool vs Alaves 2001 Uefa Cup final

นักเต่ะแต่ละคนในลิเวอร์พูล





Posted Image

Posted Image



หวังว่าคงเป็นประโยชน์สักเล็กๆน้อยๆ สำหรับสาวกหงส์แดงนะครับ

ขอบคุณแหล่งข้อมุลต่างๆๆ

http://pegassusjb.mu.../journal/item/2
http://guru.google.c...cc36c110e&pli=1
http://www.sport-za....A5-103-0-0.html



......Indyhell




มีสาระเสมอเลย
  • Report
นัดที่ผมชอบสุด แบบดูทัน ก็คง นัด ยูฟ่าแชมป์ลีก ทีตาม สามลูก แต่กลับมาชนะได้ :act_right:
  • Report
เยอะขี้เกียจอ่านขอสั้นๆดิน้า
  • Report